IEC คาดสรุปแผนโครงการร่วมทุน บ.น้ำมันยักษ์ใหญ่เพื่อผลิตไบโอก๊าซครบวงจร ภายในสิ้นปีนี้ พร้อมแจงการตัดสินใจยกเลิกแผนการออกหุ้น PP จำนวน 32.69 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ลงทุน 16 ราย เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทในวงกว้าง
นายภูษณ ปรีย์มาโนช กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง (IEC) เปิดเผยว่า การร่วมลงทุนในโครงการ INTEGRATED GAS HUB ในการผลิต CBG ร่วมกับบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของภาครัฐ กำลังการผลิต CBG 250,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน ที่จังหวัดอ่างทอง มูลค่าโครงการกว่า 4 พันล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นปีนี้ จากเดิมไตรมาส 2/59
ส่วนการลงทุนธุรกิจพลังงานในกัมพูชานั้นบริษัทได้ยกเลิกแผนการลงทุนไปแล้ว เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูงมาก ทำให้บริษัทมองว่าอาจไม่คุ้มค่าในการลงทุน
ส่วนความคืบหน้าในการซื้อหุ้นของบริษัท จีเดค จำกัด คืนจาก บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) จำนวน 50% มูลค่า 200 ล้านบาท รวมไปถึงการขายหุ้นของบริษัท จีเดค จำกัด ในส่วนที่บริษัทซื้อคืนมาให้แก่ บมจ.ยูนานวอเตอร์ อินเวสเมนต์ คาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะเสร็จสิ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ โดยหลังจากนั้น IEC จะเหลือสัดส่วนในการถือหุ้นในจีเดคราว 50%
นายภูษณ กล่าวต่อว่า สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไว้ 1 พันล้านบาท จากเงินลงทุนทั้งโครงการที่ 1.78 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทยังขาดเงินลงทุนในปีนี้อีก 400-500 ล้านบาท โดยจะมาจากเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งจะลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าไบโอแก๊สที่จังหวัดสุพรรณบุรี 5-6 เมกะวัตต์ และกาญจนบุรี 3 เมกะวัตต์ และใช้เป็นเงินมัดจำบางส่วนในโครงการไบโอแก๊สที่โคกเจริญ
ขณะเดียวกัน บริษัทยังทยอยขยายกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกในโรงงานที่ระยองพิ่มอีก 6 สายการผลิต ทำให้ในสิ้นปี 59 บริษัทจะมีสายการผลิตเม็ดพลาสติกทั้งสิ้น 12 สายการผลิต กำลังการผลิตรวม 200 ตัน/วัน จากเดิมที่มี 6 สายการผลิต กำลังการผลิต 100 ตัน/วัน และอาจจะมีการลงทุนตั้งสายการผลิตเพิ่มเติมให้แก่โรงงานในหาดใหญ่อีก 70 ล้านบาท ในกรณีที่มีเงินลงทุนเพียงพอ โดยขณะนี้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกที่หาดใหญ่มีกำลังการผลิต 60 ตัน/วัน
อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้มาอยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 1.7 พันล้านบาท แต่ก็ยังถือว่าสูงขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 607.78 ล้านบาท โดยในปีนี้จะมีรายได้จากการผลิตเม็ดพลาสติกเพิ่มเข้ามา 600-700 ล้านบาท แม้ว่าจะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้เบื้องต้น 15 สายการผลิต และยังมีรายได้จากธุรกิจไอซีที 80 ล้านบาท และส่วนที่เหลือเป็นรายได้จากธุรกิจไฟฟ้า
ด้านกำไรตั้งเป้าเพิ่มเป็น 161 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีกำไร 140,000 บาท โดยในปีนี้จะมีการรับรู้กำไรจากการขายไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตรวมในปัจจุบัน 27 เมกะวัตต์ เข้ามาเต็มปี คาดว่าจะมีกำไร 60-70 ล้านบาทในปีนี้
นายภูษณ ยังกล่าวถึงการตัดสินใจยกเลิกแผนการเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวน 32.69 ล้านหุ้น ให้แก่ผู้ลงทุน 16 ราย ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.021 บาท หลังจากผู้ถือหุ้นรายย่อยหลายรายร้องเรียนไปยังสำนักงานกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพราะไม่เห็นด้วยต่อการตั้งราคาเสนอขายหุ้น PP ต่ำกว่าราคาหุ้น IEC ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยอยู่ที่ 0.04 บาทว่า บริษัทตัดสินใจยกเลิกแผนดังกล่าวไป เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้ถือหุ้นของบริษัทในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม การยกเลิกแผนการเพิ่มทุนแบบ PP ของบริษัทนั้นจะไม่กระทบต่อแผนการลงทุนและสภาพคล่องของบริษัท เนื่องจากบริษัทได้รับการสนับสนุนด้านสินเชื่อจากธนาคารธนชาต วงเงิน 270 ล้านบาท และกำลังจะได้รับการพิจารณาจากสถาบันการเงินหลายอื่นเพิ่มเติม ซึ่งบริษัทมีความสามารถในการกู้ยืมเงินสูง โดยมีอัตราส่านหนี้สินต่อทุน (D/E) ในปัจจุบันอยู่ที่ 0.43 เท่า และรักษาระดับให้ไม่เกิน 1.5 เท่า แต่ในอนาคตก็ยังอาจจะมีแผนออกหุ้น PP เพื่อเสนอขายให้แก่พันธมิตรทางธุรกิจ ซึ่งจะกำหนดราคาไม่ต่ำกว่าราคาตลาด
“เรื่องเงินลงทุนหลังจาก PP ครั้งนี้ยกเลิกไปแล้ว เราก็ยังมีแนวทางในการออก PP อีกในอนาคตให้แก่ Strategic Partner แต่ราคาขายคงจะขายเท่ากับราคาบนกระดาน เพราะเราไม่อยากให้กระทบต่อผู้ถือหุ้นส่วนมาก และที่เรายังอยากขาย PP อยู่ เพราะเราต้องการเงินมาใช้ในการลงทุนจริงๆ ซึ่งตอนนี้เราก็ขาดเงินลงทุนบางส่วน แต่ก็ยังมีความสามารถในการกู้แบงก์ได้ เพราะ D/E ยังต่ำมาก” นายภูษณ กล่าว