BEAUTY จับมือ CPALL วางสินค้าขายผ่านเซเว่น อีเลฟเว่น กว่า 900 สาขาทั่วประเทศ พร้อมรุกตลาดออนไลน์ มั่นใจยอดขายโตก้าวกระโดด ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ทะลุ 2,000 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 20%
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY กล่าวว่า บริษัทเตรียมที่จะขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมผ่านร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-11) จำนวน 900 สาขาทั่วประเทศ เมื่อช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2558 จากจำนวนสาขา 7-11 ที่มีจำนวนสาขากว่า 7,000 แห่ง ซึ่งผลตอบรับจากผู้บริโภคเป็นไปในทิศทางที่ดี เชื่อว่าช่องทางจำหน่ายใหม่ดังกล่าวจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมียอดขายเพิ่มมากยิ่งขึ้นจากการหาซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่ายของผู้บริโภค
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งใน และต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีสาขาทุกแบรนด์รวม 316 สาขา ทั้งนี้ ปี 2559 มีแผนจะเพิ่มสาขา BEAUTY BUFFET จำนวน 30 สาขา BEAUTY COTTAGE จำนวน 15 สาขา และ BEAUTY MARKET จำนวน 5 สาขา ส่วนตลาดต่างประเทศ มีแผนขยายสาขาที่เป็น Independent shop จำนวน 18 สาขา จากปัจจุบัน 32 สาขา กระจายอยู่ในกลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา 7 สาขา ลาว 2 สาขา พม่า 2 สาขา และเวียดนาม 21 สาขา โดยเมื่อเดือนมกราคม 59 ที่ผ่านมา ได้เซ็นสัญญาตัวแทนจำหน่ายกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซียเรียบร้อยแล้ว ในรูปแบบของ Shop in Shop ทำให้ปัจจุบันมีสาขา Shop in Shop ในอินโดนีเซีย จำนวน 15 สาขา และมีแผนเปิดเพิ่มอีก 6 สาขาในปีนี้
ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้ดำเนินการขยายช่องทางจำหน่ายผ่าน Modern Trade, Traditional Trade และออนไลน์เต็มรูปแบบ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก มีการใช้ช่องทางออนไลน์ในการเลือกซื้อสินค้าทุกประเภทมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมา BEAUTY ได้ทดลองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ต่างๆ ผ่านทาง Facebook และเว็บไซต์ต่างๆ พบว่า มีกระแสตอบรับดีเป็นอย่างมาก ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงวางเป้าหมายที่จะรุกตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีรายได้เติบโตก้าวกระโดด
“บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ไม่ต่ำกว่า 2.1 พันล้านบาท เติบโตอย่างน้อย 20% จากปีก่อน และรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20% ของรายได้รวม เนื่องจากเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว ประกอบกับบริษัทมีช่องทางการขายในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้า ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และตรงต่อความต้องการของเทรนด์แฟชันไลฟ์สไตล์”
สำหรับลงทุนปี 59 บริษัทตั้งงบไว้ที่ 190 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนเปิดสาขาใหม่ 100-110 ล้านบาท และใช้ในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต 70-80 ล้านบาท พร้อมทั้งนำไปพัฒนา และสร้างแนวความคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมไปถึงพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ ในการจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง
ส่วนผลประกอบการปี 58 บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่น และเป็นการทำสถิติผลประกอบการเติบโตสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,792.03 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,385.27 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.36% และมีกำไรสุทธิ 402.49 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 301.16 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 33.65 %
ทั้งนี้ ที่ประชุมกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 99.13% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี และสำรองตามกฎหมาย จากนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% หรือ คิดเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มในอัตราหุ้นละ 0.083 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 249 ล้านบาท จากที่ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.05 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 150 ล้านบาท ส่งผลทำให้ในปี 2558 บริษัทจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 0.133 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 399 ล้านบาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 28 เม.ย.59 และจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 พ.ค. 59 อีกทั้งที่ประชุมยังมีมติให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ESOP ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท จำนวน 22.61 ล้านหน่วย โดยไม่คิดมูลค่าให้แก่กรรมการที่เป็นผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท โดยมีจำนวนหุ้นสามัญที่ออกเพื่อรองรับการใช้สิทธิ 22.61 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็น 0.75% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด จำนวน 3,000 ล้านหุ้น อัตราการใช้สิทธิ ESOP 1 หน่วย/หุ้นสามัญ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิ 5 บาท/หุ้น ระยะเวลา และสัดส่วนการใช้สิทธิปีละ 2 ครั้ง ในวันที่ 16 ของเดือนมกราคม และกรกฎาคมของแต่ละปี โดยปีที่ 1 ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 15% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร ปีที่ 2 ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 35% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร ปีที่ 3 จะใช้สิทธิได้ไม่เกิน 55% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร ปีที่ 4 ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 75% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร ปีที่ 5 ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 100% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ หรือ BEAUTY กล่าวว่า บริษัทเตรียมที่จะขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมผ่านร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น (7-11) จำนวน 900 สาขาทั่วประเทศ เมื่อช่วงปลายไตรมาสที่ 3/2558 จากจำนวนสาขา 7-11 ที่มีจำนวนสาขากว่า 7,000 แห่ง ซึ่งผลตอบรับจากผู้บริโภคเป็นไปในทิศทางที่ดี เชื่อว่าช่องทางจำหน่ายใหม่ดังกล่าวจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมียอดขายเพิ่มมากยิ่งขึ้นจากการหาซื้อผลิตภัณฑ์ได้ง่ายของผู้บริโภค
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งใน และต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีสาขาทุกแบรนด์รวม 316 สาขา ทั้งนี้ ปี 2559 มีแผนจะเพิ่มสาขา BEAUTY BUFFET จำนวน 30 สาขา BEAUTY COTTAGE จำนวน 15 สาขา และ BEAUTY MARKET จำนวน 5 สาขา ส่วนตลาดต่างประเทศ มีแผนขยายสาขาที่เป็น Independent shop จำนวน 18 สาขา จากปัจจุบัน 32 สาขา กระจายอยู่ในกลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา 7 สาขา ลาว 2 สาขา พม่า 2 สาขา และเวียดนาม 21 สาขา โดยเมื่อเดือนมกราคม 59 ที่ผ่านมา ได้เซ็นสัญญาตัวแทนจำหน่ายกับตัวแทนจำหน่ายในประเทศอินโดนีเซียเรียบร้อยแล้ว ในรูปแบบของ Shop in Shop ทำให้ปัจจุบันมีสาขา Shop in Shop ในอินโดนีเซีย จำนวน 15 สาขา และมีแผนเปิดเพิ่มอีก 6 สาขาในปีนี้
ขณะเดียวกัน บริษัทยังได้ดำเนินการขยายช่องทางจำหน่ายผ่าน Modern Trade, Traditional Trade และออนไลน์เต็มรูปแบบ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก มีการใช้ช่องทางออนไลน์ในการเลือกซื้อสินค้าทุกประเภทมากขึ้น ซึ่งในปีที่ผ่านมา BEAUTY ได้ทดลองจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ต่างๆ ผ่านทาง Facebook และเว็บไซต์ต่างๆ พบว่า มีกระแสตอบรับดีเป็นอย่างมาก ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงวางเป้าหมายที่จะรุกตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่มีรายได้เติบโตก้าวกระโดด
“บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้ไว้ไม่ต่ำกว่า 2.1 พันล้านบาท เติบโตอย่างน้อย 20% จากปีก่อน และรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ที่ระดับไม่ต่ำกว่า 20% ของรายได้รวม เนื่องจากเห็นสัญญาณเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว ประกอบกับบริษัทมีช่องทางการขายในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้น ผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้า ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และตรงต่อความต้องการของเทรนด์แฟชันไลฟ์สไตล์”
สำหรับลงทุนปี 59 บริษัทตั้งงบไว้ที่ 190 ล้านบาท แบ่งเป็นลงทุนเปิดสาขาใหม่ 100-110 ล้านบาท และใช้ในโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเติบโตในอนาคต 70-80 ล้านบาท พร้อมทั้งนำไปพัฒนา และสร้างแนวความคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมไปถึงพัฒนาช่องทางอีคอมเมิร์ซ ในการจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทั่วถึง
ส่วนผลประกอบการปี 58 บริษัทมีผลประกอบการที่โดดเด่น และเป็นการทำสถิติผลประกอบการเติบโตสูงสุดอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,792.03 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,385.27 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 29.36% และมีกำไรสุทธิ 402.49 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 301.16 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 33.65 %
ทั้งนี้ ที่ประชุมกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในสัดส่วน 99.13% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี และสำรองตามกฎหมาย จากนโยบายปันผลไม่ต่ำกว่า 50% หรือ คิดเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายเพิ่มในอัตราหุ้นละ 0.083 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 249 ล้านบาท จากที่ได้มีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.05 บาท/หุ้น คิดเป็นเงินปันผลทั้งสิ้น 150 ล้านบาท ส่งผลทำให้ในปี 2558 บริษัทจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 0.133 บาทต่อหุ้น คิดเป็นจำนวนเงิน 399 ล้านบาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 28 เม.ย.59 และจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 19 พ.ค. 59 อีกทั้งที่ประชุมยังมีมติให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ESOP ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท จำนวน 22.61 ล้านหน่วย โดยไม่คิดมูลค่าให้แก่กรรมการที่เป็นผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท โดยมีจำนวนหุ้นสามัญที่ออกเพื่อรองรับการใช้สิทธิ 22.61 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.10 บาท คิดเป็น 0.75% ของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด จำนวน 3,000 ล้านหุ้น อัตราการใช้สิทธิ ESOP 1 หน่วย/หุ้นสามัญ 1 หุ้น ราคาใช้สิทธิ 5 บาท/หุ้น ระยะเวลา และสัดส่วนการใช้สิทธิปีละ 2 ครั้ง ในวันที่ 16 ของเดือนมกราคม และกรกฎาคมของแต่ละปี โดยปีที่ 1 ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 15% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร ปีที่ 2 ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 35% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร ปีที่ 3 จะใช้สิทธิได้ไม่เกิน 55% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร ปีที่ 4 ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 75% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร ปีที่ 5 ใช้สิทธิได้ไม่เกิน 100% ของจำนวนที่ได้รับจัดสรร