แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่นฯ เปิดเกมบุกอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศปี 59 ลุยขยายไลน์ธุรกิจให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ และคลาวด์รับแนวโน้มเทคโนโลยี และพฤติกรรมการใช้งานด้านอินเทอร์เน็ตของลูกค้าเปลี่ยน หวังสร้างความมั่นคงด้านรายได้ระยะยาว ช่วยหนุนความแข็งแกร่งให้แก่ผลการดำเนินงาน ชี้แนวโน้มงานประมูลจากภาครัฐฟื้นตัวดีขึ้น คาดช่วยดันภาพรวมรายได้ปีนี้เติบโต 10% พร้อมยกเครื่ององค์กรปรับโฉมสู่ Smart Company เต็มรูปแบบ
นายศิริพงษ์ อุ่นทรพันธุ์ ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT ผู้นำในธุรกิจบริการออกแบบ และรับเหมาวางระบบโครงข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร เปิดเผยว่า ในปี 59 นี้ บริษัทฯ มีแผนการสร้างความมั่นคงทางรายได้ต่อเนื่องจากปี 58 โดยการขยายการลงทุนทั้งใน และต่างประเทศ นอกเหนือจากการขยายฐานลูกค้าของธุรกิจ SI ที่ขายในรูปแบบของโครงการ ซึ่งบริษัทฯ มีแผนธุรกิจเข้าสู่การให้บริการศูนย์ดาต้า เซ็นเตอร์ และคลาวด์ เพื่อรองรับเทคโนโลยีที่ก้าวเข้าสู่ Internet of Thing (IoT) ที่ปัจจุบันกลุ่มผู้ใช้งานสามารถใช้อุปกรณ์สื่อสารที่มีความหลากหลายทั้งจากโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อสื่อสารระหว่างกัน และแสดงผลในรูปแบบแอปพลิเคชันได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้งานด้านอินเทอร์เน็ตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงกลุ่มองค์กรภาครัฐ และเอกชนที่มีความจำเป็นต้องใช้ระบบไอทีในการเป็นศูนย์ข้อมูล (Disaster Recovery Center) และจัดเก็บฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (บิ๊กดาต้า) เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ ติดต่อสื่อสาร และจัดทำข้อมูลเพื่อนำเสนอสินค้า และบริการไปยังลูกค้าผ่านโลกออนไลน์ จึงทำให้หลายองค์กรมีความจำเป็นต้องบริหารจัดการด้านข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ และนำมาสู่ความต้องการพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลผ่านดาต้า เซ็นเตอร์ที่เพิ่มสูงขึ้น และการประมวลผลข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ พบว่ายังมีกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่มีความต้องการใช้ดาต้า เซ็นเตอร์ เพื่อลดต้นทุนด้านไอทีลง อีกทั้งสร้างขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจด้วยเช่นกัน ดังนั้น AIT จึงเห็นโอกาสการรุกขยายธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ และคลาวด์เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าดังกล่าว โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปลายปี 2559 นี้ ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะทำให้ AIT สามารถต่อยอดการให้บริการสู่ธุรกิจ Cloud Service เพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้งานทั้งรายย่อย และรายใหญ่ได้อีกด้วย
“เรามีเป้าหมายที่ต้องการสร้างความมั่นคงด้านรายได้ในระยะยาว ด้วยการลงทุนในธุรกิจบริการ และการขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังบริษัทองค์กรภาคเอกชนให้มากขึ้น จึงมุ่งขยายเข้าสู่ธุรกิจการให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร โดยเริ่มต้นจากธุรกิจดาต้า เซ็นเตอร์ และคลาวด์ ซึ่งถือเป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภค และองค์กรภาคเอกชนทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยที่ต้องการเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงทรัพยากรทางด้านไอที และเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจขององค์กร และการให้บริการแก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการก้าวสู่เข้าสู่สังคมดิจิตอลเต็มรูปแบบของประเทศไทยในอนาคต” นายศิริพงษ์ กล่าว
ประธานคณะกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AIT กล่าวว่า ส่วนธุรกิจหลักด้าน SI หรืองานวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารนั้น บริษัทฯ ประเมินว่า ในปีนี้การประมูลงานจะเริ่มฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากภาครัฐมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการลงทุนด้านไอซีที เพื่อผลักดันเศรษฐกิจไทยก้าวสู่ Digital Economy ซึ่งจะทำให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนเกิดการลงทุนด้านไอทีเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีมูลค่าการลงทุนด้านไอทีเกิดขึ้นรวมกว่า 40,000 ล้านบาท จากงานโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีจากภาครัฐ เช่น โครงการลงทุนขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ สู่การเป็นอาเซียนดิจิตอล ฮับของรัฐบาล เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมของไทย พร้อมทั้งโครงการด้านระบบ ERP ของรัฐวิสาหกิจต่างๆ ที่มีความจำเป็นอยู่อีกหลายโครงการ ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการในปีนี้ นอกจากนั้น ยังมีการลงทุนด้านไอซีทีที่แฝงอยู่ในโครงการสร้าง และขยายระบบขนส่งคมนาคมต่างๆ อีกจำนวนไม่น้อย ซึ่งบริษัทฯ ให้ความสนใจเข้าร่วมประมูลด้วย
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเห็นว่าการเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง มั่นคง และยั่งยืนขององค์กรต่างๆ ในยุคโลกาภิวัตน์ที่นับวันจะทวีความรุนแรงด้านการแข่งขันขึ้นทุกวัน องค์กรจำเป็นต้องพัฒนาตนเองให้มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง โดย AIT อยู่ระหว่างการพัฒนาระบบเทคโนโลยี และระบบการดำเนินงานภายในเพื่อให้เป็น Digital Company พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรทุกคนของ AIT ให้มีความเป็นมืออาชีพ โดยมีเป้าหมายต้องการให้ AIT ก้าวไปสู่ Smart Company ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
“เราเชื่อว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างเฉลียวฉลาด การปรับระบบขั้นตอนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และการพัฒนาคนให้เป็นมืออาชีพ จะเป็นแนวทางนำเราไปสู่การเป็น Smart Company และในที่สุด เราจะนำประสบการณ์นี้ไปช่วยเหลือ หรือแลกเปลี่ยนกับลูกค้าในการพัฒนาองค์กรให้เป็น Smart Company ต่อไป” นายศิริพงษ์ กล่าว