อีสเทิร์น โพลีเมอร์ กรุ๊ป ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท ต่อยอดพัฒนา 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก วางเป้าหมายรายได้ผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายตามงวดบัญชีเติบโต 25-30%
นายภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อีสเทิร์น โพลีเมอร์ กรุ๊ป หรือ EPG เปิดเผยถึงแผนการวิจัยและพัฒนาสินค้าในกลุ่ม EPG ในปี 2559/60 ว่า ในปีนี้ EPG จะเน้นการพัฒนาและต่อยอดสินค้าในกลุ่มสินค้านวัตกรรมที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยตั้งงบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกว่า 100 ล้านบาท หรือ 1% ของรายได้รวม เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันทางธุรกิจ ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบาย และความปลอดภัยของผู้บริโภคสินค้าทั้ง 3 กลุ่มของ EPG ได้แก่ ฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX/ อุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS และบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ EPP
ทั้งนี้ การวิจัยพัฒนานวัตกรรมของกลุ่มธุรกิจ EPG แบ่งเป็นการพัฒนาสินค้าเดิมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น การพัฒนาสินค้าใหม่ให้ครอบคลุมกลุ่มธุรกิจ และการพัฒนาด้านการออกแบบเทคโนโลยีเครื่องจักรในการผลิต โดยงบลงทุนดังกล่าวแบ่งตามกลุ่มธุรกิจได้แก่ ธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ใช้งบประมาณ 30% ของงบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม โดยนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ประเภทฉนวนกันความร้อน/เย็น คุณสมบัติพิเศษ ทนทานต่อสภาวะอากาศที่มีอุณหภูมิติดลบกว่า -250C และทนทานต่อความชื้นในอากาศสูง เพื่อต่อยอดธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมที่ใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็นเชื้อเพลิงฉนวนกันความร้อน/เย็น คุณสมบัติพิเศษ ชนิดไม่ติดไฟ และไม่ลามไฟ และเกิดควันน้อยเมื่อมีการเผาไหม้ และไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้งานฉนวนกันความร้อน/เย็น คุณสมบัติพิเศษ ไม่สะท้อนคลื่นโซนาร์ ซึ่งหากพัฒนาสำเร็จจะสามารถขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจเรือเดินสมุทร และเรือดำน้ำทหาร เป็นต้น และฉนวนกันความร้อน/เย็น ที่ดูดซับพลังงานนิวเคลียร์ในระดับที่ต่ำ เพื่อใช้สำหรับระบบหล่อเย็นในโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ นอกจากนี้ ยังออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับการดูดซับเสียง เช่น AERO Acoustic เป็นต้น
ขณะที่ในส่วนของธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งยานยนต์ ใช้งบประมาณ 30% ของงบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม โดยนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ใช้โพลีเมอร์/พลาสติก และคอมโพสิตพิเศษ เพื่อทดแทนโลหะ ลดน้ำหนักรถยนต์ และประหยัดพลังงาน ผลิตภัณฑ์ให้มีความสามารถต้านการเกิดเชื้อแบคทีเรีย เช่น พื้นปูรองบ่อเลี้ยงกุ้งและพลาสติกที่ดูดซับพลังงาน UV เพื่อใช้ในวงการนาเกลือ และการตากแห้งสินค้าเกษตรกรรมต่างๆ และพัฒนาการผลิตด้วยระบบออโตเมชัน
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ใช้งบประมาณ 20% ของงบลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม โดยนำไปใช้พัฒนาพัฒนาระบบการเพาะเชื้อโดยเฉพาะเชื้อในทางอาหารเพื่อความปลอดภัยในบรรจุภัณฑ์ พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ผู้บริโภคเหมาะต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันต่างๆ ออกแบบเทคโนโลยีเครื่องจักร และระบบการผลิตโดยใช้ระบบออโตเมชัน เพื่อลดการใช้แรงงานลงออกแบบพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ความปลอดภัยในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ
ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังได้สำรองงบประมาณอีก 20% เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ๆ นอกเหนือการกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอยู่
“นวัตกรรมที่สร้างสรรค์ถือเป็นจุดเด่นที่สำคัญที่ทำให้ EPG มีความแตกต่าง และไม่เหมือนใคร ทั้งในเรื่อง 1.Innovative Design 2.Innovative Process และ 3.Innovative Material พิสูจน์ได้จากรางวัลด้านนวัตกรรม และสิทธิบัตรกว่า 600 ฉบับ นอกจากนี้ บริษัทได้ก่อตั้งบริษัท อีพีจี อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ จำกัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รวมด้านการวิจัยโพลีเมอร์ และพลาสติก ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งในประเทศไทย ณ เขตอุตสาหกรรม อินเตอร์เนชั่นแนล โพลีเมอร์ ปาร์ค (IPP) จ.ระยอง ซึ่งปัจจุบันมีทีมงานด้านวิจัยของกลุ่มบริษัทฯ กว่า 60 คน”
ขณะที่ นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EPG กล่าวต่อถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2558/59 (ต.ค.-ธ.ค.2558) มีรายได้จากการขายรวม 2,261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% และมีกำไรสุทธิรวม 354 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้รายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี (เม.ย.-ธ.ค.2558) EPG มีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% และมีกำไรสุทธิรวมถึง 1,066 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 137% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะอุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS มียอดขายเพิ่มขึ้น 79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจหลัก ทั้งจาก bed liner, canopy, deck cover และ sidestep และผลจากการขยายธุรกิจใหม่ในประเทศออสเตรเลีย (TJM) ด้านธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX มียอดขายเพิ่มขึ้น 14% ทั้งใน และต่างประเทศ ในขณะที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ EPP มียอดขายเพิ่มขึ้น 15%
ส่วนผลประกอบการในช่วงไตรมาสสุดท้ายสิ้นสุดเดือนมีนาคม 2559 คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากทุกกลุ่มสินค้าเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน มีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้มั่นใจว่าการเติบโตในปีนี้ (เม.ย.58-มี.ค.59) จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 25-30% หรือประมาณ 8,500-9,000 ล้านบาท และจะยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง