EPG เผยผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2558/59 ฟันกำไรกว่า 424.3 ล้านบาท หรือ 199% หลัง 3 ธุรกิจหลัก AEROFLEX, AEROKLAS และ EPP ออเดอร์โตตามอุตฯ โลก ส่งตัวเลข 6 เดือนแรกโต 136% แย้มครึ่งหลังของปีไปได้สวย มั่นใจยอดขายทั้งปีโตตามเป้า 8,500-9,000 ล้านบาท โปรยยาหอมควักกระเป๋า 224 ล้านบาท เตรียมจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.08 บาท 9 ธ.ค.นี้
นายเฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG แจงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปี 2558/59 (ก.ค.-ก.ย.2558) ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายรวม 2,269 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% และมีกำไรสุทธิรวม 424.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 199% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นใน 3 กลุ่มสินค้าหลัก อันได้แก่ ฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX มียอดขายเพิ่มขึ้นทั้งใน และต่างประเทศโดยเพิ่มขึ้น 23% อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS มียอดขายเพิ่มขึ้นจากธุรกิจหลัก และผลจากการขยายธุรกิจใหม่ในออสเตรเลีย (TJM) โดยเพิ่มขึ้นถึง 61% และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ EPP มียอดขายเพิ่มขึ้น 20%
ขณะที่ผลจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพทั้งราคาวัตถุดิบที่ลดลง Economy of scale และประสิทธิภาพการผลิตที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจร่วมทุนยังได้รับประโยชน์จากการที่ค่ายรถยนต์ได้เปลี่ยนรุ่นรถยนต์ใหม่ทำให้ได้รับงานผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพิ่มขึ้น บริษัทฯ จึงได้รับส่วนแบ่งกำไรในไตรมาสนี้สูงถึง 75.7 ล้านบาท และยังได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าลงของค่าเงินบาทเนื่องจากมีการส่งออกถึงกว่า 60% จึงส่งผลให้ 6 เดือนแรก ปี 2558/59 มียอดขายรวม 4,343.0 ล้านบาท มีกำไรสุทธิรวม 712.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 136% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม จากการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2558 ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับงวด 6 เดือนแรกของปี 2558/59 ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 224 ล้านบาท โดยจะปิดสมุดทะเบียนวันที่ 27 พฤศจิกายน 2558 และมีกำหนดจ่ายปันผลวันที่ 9 ธันวาคม 2558 เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ แนวโน้มทิศทางการเติบโตของ EPG ในช่วงครึ่งปีแรกถือว่าเป็นไปตามที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้ แม้ว่าเศรษฐกิจในภาพรวมจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ด้วยการพัฒนาคุณภาพของสินค้าด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้บริษัทฯ มีสัดส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ในระดับสูงถึง 35% คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังผลประกอบการจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเป็นไปในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกับครึ่งปีแรก เนื่องจากกลุ่มสินค้าเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน มีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้มั่นใจว่าการเติบโตในปีนี้ (เม.ย.58-มี.ค.59) จะเป็นไปตามเป้าหมาย ที่ 25-30% หรือประมาณ 8,500-9,000 ล้านบาท พร้อมลุ้นเข้าสู่ SET100 ซึ่งจะประกาศผลกลางเดือนธันวาคมนี้