“เจ.ดี.พูลส์” แตกบริษัทลูกรองรับตลาดบริการและขายปลีก ประเภทเคมีภัณฑ์ อุปกรณ์เสริม ต่อยอดจากธุรกิจก่อสร้างสระว่ายน้ำ เผยเปิดสาขาแล้วหลายจังหวัด ระบุเป้าธุรกิจปี 59 เล็งเปิดสาขาแฟรนไชส์เพิ่ม วางยอดขายรวม 1,000 ล้านบาท เติบโต 20-30% เผยปี 58 ยอดส่งออกโต เหตุมีรายการพิเศษลูกค้าจากเวียดนามสั่งล็อตใหญ่ 660 ลูก
นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำแบรนด์ “เจ.ดี พลูส์” กล่าวว่าตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมา ทาง เจ.ดี.พูลส์ สามารถให้บริการ และก่อสร้างสระว่ายน้ำได้กว่า 10,000 สระ โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลังที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องและสูงขึ้น เนื่องจากสินค้าสระว่ายน้ำเริ่มเป็นที่นิยม ตลาดเปิดกว้างขึ้น อย่างโรงเรียนจำเป็นต้องมีสระว่ายน้ำ โรงแรม และกลุ่มที่อยู่อาศัยที่มีลักษณะเฉพาะที่มีเพื่อสร้างความพอใจ ซึ่งแต่ละปีตลาดสร้างสระว่ายน้ำและตลาดบริการจะมีมูลค่าอย่างละ 4,000-5,000 ล้านบาท
“จะเห็นได้ว่าตลาดบริการมีมูลค่าสูง และนี่คือโอกาส โดยทาง เจ.ดี.พูลส์ ได้แตกบริษัทใหม่ภายใต้ชื่อ บริษัท Pool Pro&Lab เพื่อทำธุรกิจในด้านการบริการและขายปลีกย่อยประเภทพวกเคมีภัณฑ์ อุปกรณ์เสริม ขณะนี้ได้เปิดสาขาแล้วที่จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต เชียงราย”
ในส่วนของธุรกิจสระว่ายน้ำ ในปีนี้จะมีการขยายแฟรนไชส์ประมาณ 2-3 แห่ง จะเป็นหัวเมืองใหญ่ ปัจจุบันบริษัทมีแฟรนไชส์อยู่ประมาณ 19 แห่ง เป็นส่วนของผู้ถือหุ้น (นายธนูศักดิ์) ประมาณ 5 สาขา ที่เหลือเป็นแฟรนไชส์ และในปีหน้าได้มีการวางแผนจะเปิดเพิ่มอีก 10 สาขา ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนในแฟรนไชส์ประมาณ 2-4 ล้านบาท คืนทุนประมาณปีถึงปีครึ่ง มีการต่อสัญญา 5 ต่อ 5 ซึ่งเท่าที่ประมาณการแค่มียอดขายเดือนละ 2-3 ลูก ก็แฮปปี้”
นายธนูศักดิ์ กล่าวถึงกลุ่มลูกค้าว่า ตลาดหลักๆ ของบริษัท คือ บ้าน โรงแรม โรงเรียน และหน่วยงานราชการ โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีอัตราเติบโตของยอดขาย โดยมียอดขายในประเทศกว่า 600 ล้านบาท และจากยอดส่งออกกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเกิดจากรายการพิเศษ เนื่องจากลูกค้าในประเทศเวียดนามสั่งสินค้าจากบริษัทถึง 660 ลูก ทำให้ยอดขายในปีที่ผ่านมาเติบโต 25% โดยในปี 59 วางยอดขายไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 20-30%
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนภายใน 2 ปีที่จะก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่จากที่มีอยู่ที่ จ.ภูเก็ต โดยกำลังจังหวัดที่อยู่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ คาดใช้งบลงทุน และก่อสร้างรวม 80 ล้านบาท
