“พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” วางโครงสร้างเป็นกลุ่มบริษัท ขยายการลงทุนทั้งที่อยู่อาศัย-โรงแรม วางแผนเพิ่มทั้งจำนวนโรงแรมและห้องพัก ตั้งเป้ารายได้รวม 20,000 ล้านบาท โต 67% เพอร์เฟคเตรียมเปิด 17 โครงการ มูลค่า 24,000 ล้าน ขณะที่ GRAND ทุ่มงบ 6,000 ล้านบาท ผุดโรงแรม 2 แห่ง คอนโดฯกลางเมืองอีก 1 แห่ง
นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร๊อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) (PF) เปิดเผยว่า ในปี 2559 บริษัทได้เดินหน้ารุกธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการขยายธุรกิจโรงแรมอย่างชัดเจนภายใต้ บริษัทแกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ
บริหารจัดการต้นทุนการเงินหวังเพิ่มเรตติ้ง
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายในการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อปรับเรตติ้งของบริษัทให้ดีขึ้น รวมถึงมีแผนจัดตั้ง REIT ในส่วนของกิจการ Hospitalities และบริหารจัดการอัตราส่วนระหว่างแหล่งเงินทุนระยะสั้นและระยะยาวเพื่อปรับอัตราส่วนดอกเบี้ยจ่ายให้ลดลง รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารให้มีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาการพัฒนา ด้วยการเปิดโครงการให้เร็วขึ้นนับจากซื้อที่ดินจากเดิมนับจากซื้อที่ดินจนถึงพัฒนาจะใช้ระยะเวลากว่า 1 ปี แต่หลังจากนี้จะปรับให้เร็วขึ้นเหลือประมาณ 8-9 เดือน รวมถึงการร่นระยะเวลาก่อสร้างให้เร็วขึ้นเพื่อให้เกิดการหนุนรอบของเงินลงทุนเร็วขึ้น อีกทั้งยังได้จัดตั้งจัดซื้อจัดจ้างกลางเพื่อลดค่าใช้จ่ายการก่อสร้าง โดยสามารถลดได้ถึง 5%
ลุยเปิด 17 โครงการใหม่มูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้าน
สำหรับแผนการดำเนินงานของเพอร์เฟคฯ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 9,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมอีก 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มียอดขาย 11,000 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการ รวมมูลค่า 24,041 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในครึ่งปีแรก 4 โครงการ และครึ่งปีหลังอีก 13 โครงการ ซึ่งยังคงเน้นโครงการแนวราบ
ทั้งนี้การพัฒนาที่อยู่อาศัยของ PF ยังคงเน้นโครงการแนวราบ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ 12 โครงการ มูลค่า 16,814 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Shophouse ABAC บางนา มูลค่า 648, โครงการ เพอร์เฟค พาร์ค ชัยพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 763, โครงการ เพอร์เฟค เพลส วงแหวน-รามคำแหงมูลค่าโครงการ 1,135 ล้านบาท, โครงการ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีช รามคำแห่ง 2,200 ล้านบาท, โครงการโมดิ วิลล่า รังสิต 425 ล้านบาท, โครงการเพอร์เฟค เพลส รามอินทรามูลค่า 210 ล้านบาท
โครงการเพอร์เฟค มาสเอตร์พีช กรุงเทพกรีฑา 3,700 ล้าน[km โครงการเพอร์เฟค เพลส กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 1,450 ล้านบาท โครงการมาสเตอร์ พีซ แจ้งวัฒนะ 897 ล้านบาท โครงการเพอร์เฟค เพลส 2 แจ้งวัฒนะ 1,930,โครงการเพอร์เฟค พาร์ค รามอินทรา 1,500 ล้านบาท และโครงการ เพอร์เพค พาร์ค 2 รังสิต 1,768 ล้านบาท
ส่วนอีก 5 โครงการเป็นคอนโดมิเนียม มูลค่า 7,200 ล้านบาท ได้แก่ ไอคอนโด ศาลายา เดอะ แคมปัสใกล้ ม.มหิดล มูลค่า 1,400 ล้านบาท, ไอคอนโด ราชพฤกษ์ ใกล้ MRT สายสีม่วง มูลค่า 1,000 ล้านบาท, ไอคอนโด เสรีไทย ใกล้ม. NIDA มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท, เมโทรสกาย จรัญสนิทวงศ์ ใกล้ MRT สีน้ำเงิน มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท และเมโทรลักซ์ พหลโยธิน 2 ใกล้ BTS สะพานควาย มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ทั้งนี้การลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียม ถือเป็นการรุกตลาดอย่างมากเนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้ลงทุนพัฒนาคอนโดฯแต่อย่างใด
“ปีนี้โครงการของบริษัทได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งมีโครงการที่อยู่บนแนวรถไฟฟ้าดังกล่าวถึง 14 โครงการ มีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ได้แก่ การเปิด Too Fast to Sleep ร้านกาแฟคอนเซปท์ใหม่แห่งใหม่ สำหรับนักศึกษาและหนุ่มสาวย่านศาลายา ที่บริษัทได้พัฒนาโครงการ “ไอคอนโด ศาลายา เดอะ แคมปัส” เพื่อตอบสนองความต้องการในเชิงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มนักศึกษา โดยโครงการนี้สร้างเสร็จก่อนขายเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่า” นายชายนิดกล่าว
GRANDทุ่ม 6,000 ล้านผุดโรงแรม-คอนโดฯ
บริษัทฯ ยังได้จัดวางโครงสร้างการลงทุนที่ชัดเจนในธุรกิจโรงแรมภายใต้ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND ซึ่งเป็นบริษัทฯในเครือ พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค โดยนายไพสิฐ แก่นจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GRAND เปิดเผยว่า ในปี 2559 GRAND มีแผนใช้งบลงทุน 6,000 ล้านบาทในปีนี้เพื่อพัฒนาโรงแรมเพิ่มประมาณ 2 แห่ง รวมมูลค่า 2,400 ล้านบาท และ พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม 1 แห่ง มูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้งบในการก่อสร้างประมาณ 2,500 ล้านบาท ตั้งงบซื้อที่ดิน 2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนพัฒนาธุรกิจโรงแรมในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนปรับปรุงโรงแรม”คิโรโระ รีสอร์ท”ให้ได้มาตรฐานระดับโลกภายใต้แบรนด์”เชอราตัน ฮอกไกโด คิโรโระ รีสอร์ท”และ”คิโรโระ ทริบิวท์ พอร์ตโฟลิโอ”บริหารงานโดยกลุ่มสตาร์วูด โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท พร้อมร่วมมือกับ”เอ็นแซดสกี”ผู้ให้บริการด้านสกีชั้นนำจากนิวซีแลนด์ เข้ามาปรับปรุงบริการด้านสกีเพื่อดึงกลุ่มลูกค้าจากนิวซีแลนด์และออสเตรเลียเข้ามาเล่นสกีที่คิโรโระ ล่าสุด “คิโรโระ รีสอร์ท” ยังได้รับการประกาศให้เป็น Best of the World 2016 หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดเยี่ยมของโลก ปี 2016 จากนิตยสาร National Geographic อีกด้วย
ทั้งนี้บริษัทมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆ อาทิ โครงการแบบมิกซ์ยูสเป็นที่อยู่อาศัยและโรงแรมหรือรีสอร์ท, โครงการพักอาศัยประเภท Hotels & Branded Residences, โครงการพักอาศัยสำหรับคนวัยเกษียณโดยเน้นกลุ่มต่างชาติ และ ที่พักวันหยุดแบบไทม์แชร์ (Time Share) เป็นต้น GRAND ยังมีแผนพลิกให้กลับมามีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ปรับปรุงโครงสร้างต้นทุน รวมทั้งการลดต้นทุนเงินทุน ปัจจุบัน GRAND มีคอนโดมิเนียม 2 โครงการ คือ ไฮด์ สุขุมวิท 11 และ ไฮด์ สุขุมวิท 13 และธุรกิจโรงแรม 4 แห่ง รวม 930 ห้องพัก ได้แก่ เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท, เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา, เชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า และ ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดย GRAND มีความร่วมมืออันดีกับกลุ่มสตาร์วูด
นายไพสิฐ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าปีนี้ผลการดำเนินงานจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรจากปีก่อนที่คาดว่ามีผลการดำเนินงานขาดทุน โดยปีนี้บริษัทจะได้รับปัจจัยหนุนจากการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาลที่ช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยมีการขยายตัวขึ้นอย่างมากในปีนี้ ซึ่งส่งผลดีมาถึงบริษัท โดยคาดว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมของบริษัทจะเพิ่มเป็น 80% จากปีก่อนที่ 70% และจะทำให้บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจโรงแรมเติบโต 10% ในปีนี้ โดย RevPar มีการเติบโตในปีนี้ที่ 7-8% ขณะที่อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000 บาท/ห้อง/คืน โดยบริษัทมีโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์ของบริษัท 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมเวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท โรงแรมเชอราตัน หัวหิน และโรงแรมเชอราตัน ปราณบุรี
ปี 59 ตั้งเป้ารายได้ ทะลุ 2 หมื่นล้านโต 67%
ส่วนรายได้รวมปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท หรือเติบโต 67% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 11,900 ล้านบาท โดยรายได้ในปีนี้จะมาจากรายได้จากการขายโครงการแนวราบ 9,000 ล้านบาท รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม 7,500 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นยอดขายรอโอน (Backlog) 4,770 ล้านบาท โดยเป็นแนวราบ 1,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3,770 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังจะมีรายได้จากการขายที่ดิน 1,000 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจโรงแรมอีก 2,500 ล้านบาท ทำให้รายได้ของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย
เล็งจับมือทุนญี่ปุ่น-ไทยผุดโรงแรม-ศูนย์การค้า
นายชายนิด กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรญี่ปุ่นรายใหญ่ ที่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น และพันธมิตรที่เป็นบริษัทรายใหญ่ในประเทศไทย เพื่อร่วมทุนในการพัฒนาโครงการศูนย์การค้า คอนโดมิเนียมหรือเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ และโรงแรม ในศรีราชา จ.ชลบุรี และที่รามอินทรา กรุงเทพฯ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการตัดสินใจร่วมลงทุนกับพันธมิตรรายใดรายหนึ่ง และการตัดสินใจพัฒนาโครงการอย่างน้อย 1 โครงการแรก ภายในครึ่งปีแรกของปี 59 ซึ่งการร่วมทุนบริษัทจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 40%
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะนำโรงแรมของกลุ่มบริษัทมาจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยจะทะยอยออกอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปีนี้ จะออก 1 กองมูลค่าไม่เกิน 2,000 ล้านบาท โดยจะนำโรงแรม ที่เป็นสินทรัพย์ของ PF และบมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) เข้าจัดตั้ง และหลังจากจัดตั้งกอง REIT แล้วเสร็จ บริษัทวางแผนที่จะขยายกอง REIT ปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์อยู่ 4-5 โรงแรม มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ที่สามารถนำขายเข้ากอง REIT ได้
บริษัทยังเตรียมการออกหุ้นกู้ใหม่ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในเดือนตุลาคมนี้ มูลค่า 2,400 ล้านบาท โดยคาดว่าหุ้นกู้ชุดใหม่จะออกในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ มูลค่า 2,400 ล้านบาท อายุหุ้นกู้ 2 ปีครึ่ง โดยสาเหตุอายุหุ้นกู้ชุดใหม่สั้นนั้น เนื่องจากบริษัทต้องการลดต้นทุนทางการเงินให้ลดลง เพื่อช่วยผลักดันผลการดำเนินงานให้ดีขึ้น
สำหรับอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปี 59 จะตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10% จากปี 58 คาดว่าอยู่ที่ 10% และอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 33-34% จากปีก่อนที่คาดว่าอยู่ที่ 31% ซึ่งจะมาจากการที่บริษัทพยายามลดต้นทุนต่างๆลง และเป็นการเติบโตขึ้นตามผลการดำเนินงานที่บริษัทได้วางเป้าหมายให้เติบโตขึ้น ประกอบกับการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT ในปีนี้ จะสามารถช่วยให้บริษัทกลับมามีผลการดำเนินงานที่โดเด่นขึ้นในปีนี้
ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้งบซื้อที่ดินไป 2,500 ล้านบาท นอกจากนี้วางแผนขายที่ดิน 2 แปลง มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาทในปีนี้ และอยู่ระหว่างเจรจาขายหอพักนักศึกษา ยูนิลอฟท์ เชียงใหม่ มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้สามารถขายได้ภายในปีนี้
ตลาดอสังหาฯปี 59 บิ๊กจัดสรรแข่งเดือด
นายชายนิด กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มีปัจจัยที่เป็นผลบวกมากกว่าปีที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าครึ่งปีแรกสินค้าระดับล่างและระดับกลางจะเติบโตจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐ ในครึ่งปีหลังซึ่งการลงทุนภาครัฐมีความชัดเจนขึ้น จะเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจมีการขยายตัว
ทั้งนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเป็นการแข่งขันกันของผู้ประกอบการรายใหญ่ ระหว่างรายเดิมและรายใหม่ที่มีความพร้อมทั้งแลนด์แบงค์และเงินทุน สำหรับแนวโน้มของธุรกิจในอนาคต จะต้องมีการลดความผันผวนของรายได้ ด้วยการลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้สม่ำเสมอ มีการร่วมทุนกับพันธมิตรระหว่างประเทศ และมีความร่วมมือผนึกกำลังข้ามธุรกิจ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขัน
ในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายได้มีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยด้วยกัน หรือร่วมทุนกับผู้ประกอบการชาวต่างชาติเพื่อสร้างความแข็งแกร่งกันมากแล้ว และในปีนี้จะเห็นดีลการร่วมทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่กับกลุ่มทุนทั้งชาวไทยต่างชาติเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทย เพิ่มมากขึ้นอีก
นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร๊อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) (PF) เปิดเผยว่า ในปี 2559 บริษัทได้เดินหน้ารุกธุรกิจอย่างต่อเนื่องทั้งด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และการขยายธุรกิจโรงแรมอย่างชัดเจนภายใต้ บริษัทแกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ
บริหารจัดการต้นทุนการเงินหวังเพิ่มเรตติ้ง
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายในการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อปรับเรตติ้งของบริษัทให้ดีขึ้น รวมถึงมีแผนจัดตั้ง REIT ในส่วนของกิจการ Hospitalities และบริหารจัดการอัตราส่วนระหว่างแหล่งเงินทุนระยะสั้นและระยะยาวเพื่อปรับอัตราส่วนดอกเบี้ยจ่ายให้ลดลง รวมทั้งควบคุมค่าใช้จ่ายในการบริหารให้มีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาการพัฒนา ด้วยการเปิดโครงการให้เร็วขึ้นนับจากซื้อที่ดินจากเดิมนับจากซื้อที่ดินจนถึงพัฒนาจะใช้ระยะเวลากว่า 1 ปี แต่หลังจากนี้จะปรับให้เร็วขึ้นเหลือประมาณ 8-9 เดือน รวมถึงการร่นระยะเวลาก่อสร้างให้เร็วขึ้นเพื่อให้เกิดการหนุนรอบของเงินลงทุนเร็วขึ้น อีกทั้งยังได้จัดตั้งจัดซื้อจัดจ้างกลางเพื่อลดค่าใช้จ่ายการก่อสร้าง โดยสามารถลดได้ถึง 5%
ลุยเปิด 17 โครงการใหม่มูลค่ากว่า 2.4 หมื่นล้าน
สำหรับแผนการดำเนินงานของเพอร์เฟคฯ บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 9,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมอีก 7,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มียอดขาย 11,000 ล้านบาท โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการ รวมมูลค่า 24,041 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในครึ่งปีแรก 4 โครงการ และครึ่งปีหลังอีก 13 โครงการ ซึ่งยังคงเน้นโครงการแนวราบ
ทั้งนี้การพัฒนาที่อยู่อาศัยของ PF ยังคงเน้นโครงการแนวราบ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ 12 โครงการ มูลค่า 16,814 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ Shophouse ABAC บางนา มูลค่า 648, โครงการ เพอร์เฟค พาร์ค ชัยพฤกษ์ มูลค่าโครงการ 763, โครงการ เพอร์เฟค เพลส วงแหวน-รามคำแหงมูลค่าโครงการ 1,135 ล้านบาท, โครงการ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีช รามคำแห่ง 2,200 ล้านบาท, โครงการโมดิ วิลล่า รังสิต 425 ล้านบาท, โครงการเพอร์เฟค เพลส รามอินทรามูลค่า 210 ล้านบาท
โครงการเพอร์เฟค มาสเอตร์พีช กรุงเทพกรีฑา 3,700 ล้าน[km โครงการเพอร์เฟค เพลส กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 1,450 ล้านบาท โครงการมาสเตอร์ พีซ แจ้งวัฒนะ 897 ล้านบาท โครงการเพอร์เฟค เพลส 2 แจ้งวัฒนะ 1,930,โครงการเพอร์เฟค พาร์ค รามอินทรา 1,500 ล้านบาท และโครงการ เพอร์เพค พาร์ค 2 รังสิต 1,768 ล้านบาท
ส่วนอีก 5 โครงการเป็นคอนโดมิเนียม มูลค่า 7,200 ล้านบาท ได้แก่ ไอคอนโด ศาลายา เดอะ แคมปัสใกล้ ม.มหิดล มูลค่า 1,400 ล้านบาท, ไอคอนโด ราชพฤกษ์ ใกล้ MRT สายสีม่วง มูลค่า 1,000 ล้านบาท, ไอคอนโด เสรีไทย ใกล้ม. NIDA มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท, เมโทรสกาย จรัญสนิทวงศ์ ใกล้ MRT สีน้ำเงิน มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท และเมโทรลักซ์ พหลโยธิน 2 ใกล้ BTS สะพานควาย มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ทั้งนี้การลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียม ถือเป็นการรุกตลาดอย่างมากเนื่องจากในปีที่ผ่านมาบริษัทไม่ได้ลงทุนพัฒนาคอนโดฯแต่อย่างใด
“ปีนี้โครงการของบริษัทได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งมีโครงการที่อยู่บนแนวรถไฟฟ้าดังกล่าวถึง 14 โครงการ มีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ได้แก่ การเปิด Too Fast to Sleep ร้านกาแฟคอนเซปท์ใหม่แห่งใหม่ สำหรับนักศึกษาและหนุ่มสาวย่านศาลายา ที่บริษัทได้พัฒนาโครงการ “ไอคอนโด ศาลายา เดอะ แคมปัส” เพื่อตอบสนองความต้องการในเชิงไลฟ์สไตล์ของกลุ่มนักศึกษา โดยโครงการนี้สร้างเสร็จก่อนขายเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่า” นายชายนิดกล่าว
GRANDทุ่ม 6,000 ล้านผุดโรงแรม-คอนโดฯ
บริษัทฯ ยังได้จัดวางโครงสร้างการลงทุนที่ชัดเจนในธุรกิจโรงแรมภายใต้ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND ซึ่งเป็นบริษัทฯในเครือ พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค โดยนายไพสิฐ แก่นจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GRAND เปิดเผยว่า ในปี 2559 GRAND มีแผนใช้งบลงทุน 6,000 ล้านบาทในปีนี้เพื่อพัฒนาโรงแรมเพิ่มประมาณ 2 แห่ง รวมมูลค่า 2,400 ล้านบาท และ พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม 1 แห่ง มูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้งบในการก่อสร้างประมาณ 2,500 ล้านบาท ตั้งงบซื้อที่ดิน 2,000 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนพัฒนาธุรกิจโรงแรมในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนปรับปรุงโรงแรม”คิโรโระ รีสอร์ท”ให้ได้มาตรฐานระดับโลกภายใต้แบรนด์”เชอราตัน ฮอกไกโด คิโรโระ รีสอร์ท”และ”คิโรโระ ทริบิวท์ พอร์ตโฟลิโอ”บริหารงานโดยกลุ่มสตาร์วูด โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท พร้อมร่วมมือกับ”เอ็นแซดสกี”ผู้ให้บริการด้านสกีชั้นนำจากนิวซีแลนด์ เข้ามาปรับปรุงบริการด้านสกีเพื่อดึงกลุ่มลูกค้าจากนิวซีแลนด์และออสเตรเลียเข้ามาเล่นสกีที่คิโรโระ ล่าสุด “คิโรโระ รีสอร์ท” ยังได้รับการประกาศให้เป็น Best of the World 2016 หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดเยี่ยมของโลก ปี 2016 จากนิตยสาร National Geographic อีกด้วย
ทั้งนี้บริษัทมีการพัฒนาโครงการใหม่ๆ อาทิ โครงการแบบมิกซ์ยูสเป็นที่อยู่อาศัยและโรงแรมหรือรีสอร์ท, โครงการพักอาศัยประเภท Hotels & Branded Residences, โครงการพักอาศัยสำหรับคนวัยเกษียณโดยเน้นกลุ่มต่างชาติ และ ที่พักวันหยุดแบบไทม์แชร์ (Time Share) เป็นต้น GRAND ยังมีแผนพลิกให้กลับมามีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ปรับปรุงโครงสร้างต้นทุน รวมทั้งการลดต้นทุนเงินทุน ปัจจุบัน GRAND มีคอนโดมิเนียม 2 โครงการ คือ ไฮด์ สุขุมวิท 11 และ ไฮด์ สุขุมวิท 13 และธุรกิจโรงแรม 4 แห่ง รวม 930 ห้องพัก ได้แก่ เดอะ เวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท, เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา, เชอราตัน หัวหิน ปราณบุรี วิลล่า และ ไฮแอท รีเจนซี่ กรุงเทพ ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดย GRAND มีความร่วมมืออันดีกับกลุ่มสตาร์วูด
นายไพสิฐ กล่าวว่า บริษัทคาดว่าปีนี้ผลการดำเนินงานจะสามารถพลิกกลับมามีกำไรจากปีก่อนที่คาดว่ามีผลการดำเนินงานขาดทุน โดยปีนี้บริษัทจะได้รับปัจจัยหนุนจากการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของรัฐบาลที่ช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น ทำให้ภาคการท่องเที่ยวไทยมีการขยายตัวขึ้นอย่างมากในปีนี้ ซึ่งส่งผลดีมาถึงบริษัท โดยคาดว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมของบริษัทจะเพิ่มเป็น 80% จากปีก่อนที่ 70% และจะทำให้บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจโรงแรมเติบโต 10% ในปีนี้ โดย RevPar มีการเติบโตในปีนี้ที่ 7-8% ขณะที่อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000 บาท/ห้อง/คืน โดยบริษัทมีโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์ของบริษัท 3 แห่ง ได้แก่ โรงแรมเวสทิน แกรนด์ สุขุมวิท โรงแรมเชอราตัน หัวหิน และโรงแรมเชอราตัน ปราณบุรี
ปี 59 ตั้งเป้ารายได้ ทะลุ 2 หมื่นล้านโต 67%
ส่วนรายได้รวมปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท หรือเติบโต 67% จากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 11,900 ล้านบาท โดยรายได้ในปีนี้จะมาจากรายได้จากการขายโครงการแนวราบ 9,000 ล้านบาท รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม 7,500 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้เป็นยอดขายรอโอน (Backlog) 4,770 ล้านบาท โดยเป็นแนวราบ 1,000 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3,770 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังจะมีรายได้จากการขายที่ดิน 1,000 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจโรงแรมอีก 2,500 ล้านบาท ทำให้รายได้ของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมาย
เล็งจับมือทุนญี่ปุ่น-ไทยผุดโรงแรม-ศูนย์การค้า
นายชายนิด กล่าวต่อว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรญี่ปุ่นรายใหญ่ ที่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น และพันธมิตรที่เป็นบริษัทรายใหญ่ในประเทศไทย เพื่อร่วมทุนในการพัฒนาโครงการศูนย์การค้า คอนโดมิเนียมหรือเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ และโรงแรม ในศรีราชา จ.ชลบุรี และที่รามอินทรา กรุงเทพฯ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในการตัดสินใจร่วมลงทุนกับพันธมิตรรายใดรายหนึ่ง และการตัดสินใจพัฒนาโครงการอย่างน้อย 1 โครงการแรก ภายในครึ่งปีแรกของปี 59 ซึ่งการร่วมทุนบริษัทจะเข้าถือหุ้นในสัดส่วนไม่เกิน 40%
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะนำโรงแรมของกลุ่มบริษัทมาจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) โดยจะทะยอยออกอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปีนี้ จะออก 1 กองมูลค่าไม่เกิน 2,000 ล้านบาท โดยจะนำโรงแรม ที่เป็นสินทรัพย์ของ PF และบมจ.แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ (GRAND) เข้าจัดตั้ง และหลังจากจัดตั้งกอง REIT แล้วเสร็จ บริษัทวางแผนที่จะขยายกอง REIT ปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์อยู่ 4-5 โรงแรม มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ที่สามารถนำขายเข้ากอง REIT ได้
บริษัทยังเตรียมการออกหุ้นกู้ใหม่ทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุในเดือนตุลาคมนี้ มูลค่า 2,400 ล้านบาท โดยคาดว่าหุ้นกู้ชุดใหม่จะออกในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ มูลค่า 2,400 ล้านบาท อายุหุ้นกู้ 2 ปีครึ่ง โดยสาเหตุอายุหุ้นกู้ชุดใหม่สั้นนั้น เนื่องจากบริษัทต้องการลดต้นทุนทางการเงินให้ลดลง เพื่อช่วยผลักดันผลการดำเนินงานให้ดีขึ้น
สำหรับอัตรากำไรสุทธิของบริษัทในปี 59 จะตั้งเป้าเพิ่มเป็น 10% จากปี 58 คาดว่าอยู่ที่ 10% และอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 33-34% จากปีก่อนที่คาดว่าอยู่ที่ 31% ซึ่งจะมาจากการที่บริษัทพยายามลดต้นทุนต่างๆลง และเป็นการเติบโตขึ้นตามผลการดำเนินงานที่บริษัทได้วางเป้าหมายให้เติบโตขึ้น ประกอบกับการขายสินทรัพย์เข้ากอง REIT ในปีนี้ จะสามารถช่วยให้บริษัทกลับมามีผลการดำเนินงานที่โดเด่นขึ้นในปีนี้
ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้งบซื้อที่ดินไป 2,500 ล้านบาท นอกจากนี้วางแผนขายที่ดิน 2 แปลง มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาทในปีนี้ และอยู่ระหว่างเจรจาขายหอพักนักศึกษา ยูนิลอฟท์ เชียงใหม่ มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้สามารถขายได้ภายในปีนี้
ตลาดอสังหาฯปี 59 บิ๊กจัดสรรแข่งเดือด
นายชายนิด กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้มีปัจจัยที่เป็นผลบวกมากกว่าปีที่ผ่านมา คาดการณ์ว่าครึ่งปีแรกสินค้าระดับล่างและระดับกลางจะเติบโตจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐ ในครึ่งปีหลังซึ่งการลงทุนภาครัฐมีความชัดเจนขึ้น จะเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจมีการขยายตัว
ทั้งนี้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเป็นการแข่งขันกันของผู้ประกอบการรายใหญ่ ระหว่างรายเดิมและรายใหม่ที่มีความพร้อมทั้งแลนด์แบงค์และเงินทุน สำหรับแนวโน้มของธุรกิจในอนาคต จะต้องมีการลดความผันผวนของรายได้ ด้วยการลงทุนในธุรกิจที่มีรายได้สม่ำเสมอ มีการร่วมทุนกับพันธมิตรระหว่างประเทศ และมีความร่วมมือผนึกกำลังข้ามธุรกิจ เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเสริมความแข็งแกร่งในการแข่งขัน
ในช่วงปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายได้มีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยด้วยกัน หรือร่วมทุนกับผู้ประกอบการชาวต่างชาติเพื่อสร้างความแข็งแกร่งกันมากแล้ว และในปีนี้จะเห็นดีลการร่วมทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่กับกลุ่มทุนทั้งชาวไทยต่างชาติเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ในประเทศไทย เพิ่มมากขึ้นอีก