บิวท์ ทู บิวด์ ชี้ตลาดรับสร้างบ้านปี 59 ยังเหนื่อยต่อปัญหาเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนตามรุมเร้า คาดลงทุนภาครัฐส่งผลปี 60 หนุนเศรษฐกิจโต แต่กระทบแรงงานขาดแคลน วัสดุขึ้นราคา ส่งผลราคาบ้านขึ้นตาม พร้อมเผยยอดขายปี 58 สวนกระแสตลาด 780 ล้านบาท โต 20% ปี 59 ตั้งเป้ายอดขาย 850 ล้านบาท
นายสุธี เกตุศิริ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทบิวท์ ทู บิวด์ จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านว่า ในปี 58 ตลาดชะลอตัวซึ่งเกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และซบเซา ส่งผลต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยมีปัจจัยหลัก เช่น การส่งออกติดลบ การลงทุนทั้งภายในประเทศ และต่างประเทศที่ซบเซาไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ล้วนมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว ซึ่งนับว่าเป็นวิกฤตที่ต่อเนื่องมาเกือบตลอดทั้งปี
ส่วนทิศทางของธุรกิจรับสร้างบ้านในปี 59 มองว่าในช่วงแรกเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญต่อสภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปีนี้ จากปัญหาเศรษบกิจชะลอตัว รวมถึงปัญหาหนี้ครัวเรื่อน แม้ว่าภาคการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ทิศทางตลาดรับสร้างบ้านจะค่อยๆ ฟื้นตัวตามลำดับ แต่จะไม่เติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งผู้ประกอบการอาจจะต้องเหนื่อยอยู่บ้างหากไม่มีการปรับตัวให้ถูกจุด ถึงแม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์จากรัฐฯ รวมถึงการอัดฉีดงบประมาณเพื่อขับเคลื่อนการลงทุนด้านระบบสาธารณูปโภคที่ส่งผลในเชิงจิตวิทยาต่อการกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่คาดว่าภาคเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะปกติ และเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้นในปี 2560 เป็นต้นไป
สำหรับปี 60 คาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจากการลงทุนของภาครัฐตั้งแต่ปี 59 และจะเริ่มเห็นผลในปี 60 รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนก็จะตามมาด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาครัฐจะมีข้อเสียคือ ต้องการแรงงานจำนวนมาก รวมถึงความต้องการใช้วัสดุ นอกจากนี้ เมื่อภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัวภาคเอกจะเริ่มลงทุนใหม่ ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานตามมา รวมถึงวัสดุก่อสร้าง ส่งผลให้ค่าแรง ราคาวัสดุก่อสร้างปรับสูงขึ้น และจะทำให้ราคาบ้านปรับขึ้นตามอย่างแน่นอน ซึ่งผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านในปี 59 ถือว่ายังเป็นเวลาที่ดี และได้ราคาที่เหมาะสมที่สุด เพราะเชื่อว่าในปี 2560 ไปแล้วราคาบ้านน่าจะขยับสูงขึ้นมาก
สำหรับแผนการดำเนินการของบริษัทฯ ในปี 2559 จะเน้นเจาะลูกค้าตลาดใน กทม.-ปริมณฑล เช่นเดิม เนื่องจากยังคงมีความต้องการอีกมาก ซึ่งจะเน้นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รับรู้ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมร่วมกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนการสร้างแบรนด์ของกลุ่มบิวท์ ทู บิวด์ ได้เริ่มตั้งแต่การกำหนดแบรนด์บิวท์ ทู บิวด์ เพื่อรองรับลูกค้าตั้งแต่บ้านระดับราคา 7-30 ล้านบาทขึ้นไป หรือประมาณ 20,000 บาท/ตร.ม.ขึ้นไป ขึ้นอยู่กับวัสดุ แบรนด์บางกอกเฮ้าส์บิวเดอร์ที่รองรับลูกค้าตั้งแต่บ้านระดับราคา 3-7 ล้านบาท หรือประมาณ 17,000 บาท/ตร.ม. และแบรนด์สมอลล์เฮ้าส์บิวเดอร์ ระดับราคาบ้านตั้งแต่ 1-3 ล้านบาท หรือ 15,000 บาท/ตร.ม. ทำให้บริษัทฯ สามารถรองรับลูกค้าได้ในทุกระดับราคาบ้าน โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณภาพงานก่อสร้างที่ทัดเทียมกัน
อย่างไรก็ตาม ในปี 2558 นี้บริษัทฯ เชื่อว่าจะได้ยอดขาย 780 บาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 700 ล้านบาท หรือ 12% มีอัตราการเติบโตกว่าปี 2557 ประมาณ 20% หรือที่ 650 ล้านบาท และในปี 2559 ได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 850 ล้านบาท เติบโต 10% จากปี 2558