สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย เผยแพร่แถลงการณ์ เรื่อง “ธรรมาถิบาลของผู้บริหาร” เรียกร้องให้ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนใช้ “ธรรมาภิบาล” ในการบริหารงานเพื่อสร้างความยั่งยืนให้องค์กร เนื่องจาก “ผู้บริหาร” ถือเป็นบุคคลสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรทั้งภาครัฐบาล และบริษัทเอกชน
พร้อมกันนี้ มีการตั้งข้องสังเกตุในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีผู้บริหารกระทำความผิดตามมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 จำนวน 27 หลักทรัพย์ มีการกล่าวโทษผู้บริหาร จำนวน 61 ราย มีค่าเปรียบเทียบปรับเป็นเงินรวม 212.8 ล้านบาท
โดยเฉพาะกรณีที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ ได้สร้างความหวั่นไหว ไม่มั่นใจให้กับผู้ลงทุนในพฤติกรรมของผู้บริหารที่มีโอกาสใกล้ชิด และล่วงรู้ข้อมูลก่อน แต่กลับนำไปสู่การฉกฉวยผลประโยชน์เข้าข่ายเป็นการฉ้อฉล ที่ส่งผลไปยังภาพลักษณ์โดยรวมของตลาดทุนไทย สมาคมฯ ในฐานะองค์กรตัวแทนผู้ถือหุ้นรายบุคคล ขอแสดงความกังวลในกรณีดังกล่าว เนื่องจากเป็นการซื้อขายหุ้นที่สามารถจะมีผลกระทบต่อนักลงทุนรายบุคคล และนักลงทุนทั่วไปที่ไม่มีโอกาสได้รับข้อมูลที่เท่าเทียมกัน
ดังนั้น เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนของสมาคมฯ และไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นอีกในอนาคต ทางสมาคมฯ จะขอทำหน้าที่ด้วยการเข้าพบกรรมการอิสระ อันเป็นตำแหน่งตัวแทนของผู้ลงทุนรายบุคคลในบริษัทจดทะเบียนนั้นๆ เป็นลำดับต่อไป
อนึ่ง กระแสของโลกธุรกิจยุคปัจจุบัน มิใช่เพียงมุ่งหวังผลกำไรสูงสุด แต่เป็นการแบ่งปัน และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสีย ทุกมิติ ในสังคมของชุมชน และชาวโลก การเลือกลงทุนของผู้ลงทุนก็เช่นกัน การเลือกในกิจการที่มี “ธรรมาภิบาล” จึงจะสอดคล้องตรงกัน ที่จะช่วยสร้างความมั่นคง ยั่งยืน ให้สภาวะเศรษฐกิจ สังคม สืบไป
วันเดียวกันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า เมื่อเวลา 9.26 น. ตลท.มีการเผยแพร่การรับหนังสือแจ้งจาก บมจ.ธนาคารกรุงไทย เลขที่ ธกท.สกธ. 2883/2558 เรื่องการลาออกจากการเป็นกรรมการของธนาคารของ “ศาสตราจารย์พิเศษอธึก อัศวานันท์” โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ นายอธึก อัศวานนท์ เป็น 1 ใน 6 รายที่ถูกคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปรียบเทียบปรับ ผู้บริหารของซีพีออลล์ และสยามแม็คโคร ที่ได้ซื้อหุ้นแมคโคร (MAKRO) โดยอาศัยข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงราคาของหุ้น MAKRO ที่ยังไม่ได้เปิดเผยต่อประชาชน (อินไซเดอร์เทรด) โดยพบการซื้อหุ้นในบัญชีบุคคลดังกล่าว หรือผู้สนับสนุนระหว่างวันที่ 10-22 เม.ย. 2556 อันเป็นช่วงที่ บมจ.ซีพีออลล์ เจรจาตกลงจะซื้อหุ้น MAKRO ที่บริษัท เอสเอชวี เนเธอร์แลนด์ บี.วี. (SHV) ถืออยู่ทั้งทางตรง และทางอ้อม จำนวน 154,429,500 หุ้น หรือคิดเป็น 64.35% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ MAKRO ราคาหุ้นละ 787 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาตลาดในขณะนั้นอย่างมีนัยสำคัญ และเป็นเหตุให้ซีพีออลล์ ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น MAKRO ส่วนที่เหลือทั้งหมดเป็นการทั่วไป (Tender Offer) ที่ราคาเดียวกัน
เฉพาะในกรณีของนายอธึก ก.ล.ต.พบการซื้อผ่านบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของ น.ส.อารียา ซึ่งเป็นบุตรสาว จำนวน 6,000 หุ้น การกระทำนี้ถือว่าเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา 241 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 จึงให้เปรียบเทียบปรับ นายอธึก ในฐานะรองประธานกรรมการ และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกฎหมาย บมจ.ซีพี ออลล์ เป็นเงิน 1,407,000 บาท