xs
xsm
sm
md
lg

TKN เปิดตลาดบวก 28.75% โบรกฯ คาด Fair Value ปี 2559 ที่ 6.60 บาท


เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถึงการเข้าทำการซื้อขายหุ้นเป็นวันแรกของ บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET โดยทันที่ที่เปิดตลาดในเวลา 09.56 น. ดัชนีราคาหุ้นของ TKN ปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 5.15 บาท/หุ้น จากราคา IPO ที่ 4.00 บาท/หุ้น หรือเปลี่ยนแปลง +28.75%

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส หรือ ASP ได้เปิดเผยถึงบทวิเคราะห์ของ TKN ซึ่งคาดว่า TKN Fair Value ปี 2559 เท่ากับ 6.60 บาท โดยนางสาวนวลพรรณ น้อยรัชชุกร นักวิเคราะห์จาก บล.เอเซียพลัส หรือ ASP กล่าวว่า บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ด แอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ผู้บุกเบิกธุรกิจขนมขบเคี้ยวสาหร่ายแปรรูปในไทย ครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดมากว่า 10 ปี กำลังก้าวสู่เวทีระดับเอเชียด้วยแบรนด์ที่แข็งแกร่ง พร้อมระดมทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ขยายกำลังการผลิต ส่งผลให้รายได้และกำไรเติบโตได้ต่อเนื่องในปี 2559-2560

IPO เพื่อปลดล็อกทุกข้อจำกัดในการเติบโต

เป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวประเภทสาหร่ายแปรรูปรายใหญ่ในประเทศ ภายใต้แบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” ด้วยคุณภาพสินค้าและแบรนด์อันแข็งแกร่ง ทำให้สามารถครองใจผู้บริโภค และมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดมากว่า 10 ปี อีกทั้งยังต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ขนมขบเคี้ยวอื่นๆ เช่น ข้าวโพดอบกรอบเพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ จากนี้มุ่งมั่นเดินหน้ารุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น (จากงวด 1H58 มีสัดส่วนรายได้จากการส่งออก 47%) แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องกำลังการผลิตไม่เพียงพอ TKN จึงเข้าระดมทุนใน SET ด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุนใหม่จำนวน 360 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.09% ของทุนชำระแล้วหลังการทำ IPO โดยจะนำเงินทุนไปใช้สร้างโรงงานแห่งใหม่, ขยายกำลังการผลิตในโรงงานเดิม และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในบริษัท

กำลังการผลิตใหม่จะยกฐานรายได้และกำไรสูงขึ้น

ขณะที่นายอรรถวุฒิ พุกประยูร นักวิเคราะห์จาก บล.เอเซียพลัส หรือ ASP กล่าวเสริมว่า ประมาณการกำไรปกติปี 2558 เติบโต 96% เทียบกับปีก่อนหน้าจากยอดขายที่คาดเติบโตโดดเด่นถึง 33% เทียบกับปีที่ผ่านมา เป็นปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของตลาดส่งออก ขณะที่กำไรปี 2559-2560 คาดเติบโตต่อเนื่อง 14% และ 25% เทียบกับปีที่ผ่านมาตามลำดับ หลังโรงงานใหม่เริ่มผลิตได้ภายในปีหน้า ทำให้กำลังการผลิตสาหร่ายรวมเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1 เท่าตัว พร้อมรองรับความต้องการจากต่างประเทศที่ปัจจุบันมีสูงเกินกำลังการผลิตมาก โดยเฉพาะในประเทศจีน และอินโดนีเซีย อีกทั้งโรงงานใหม่ยังมีประสิทธิภาพในการผลิตสูงขึ้น รวมถึงได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ทำให้ Effective Tax Rate จะลดลงตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นไป

เป็น Growth Stock ที่น่าลงทุน

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานด้วยวิธี DCF โดยอิง WACC 10% ได้ Fair Value ปี 2559 เท่ากับ 6.60 บาท เทียบเท่า Expected PER 21.5 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลังของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม และสะท้อนถึงการเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า
กำลังโหลดความคิดเห็น