ผู้ถือหุ้นไฟเขียว “PTG” เข้าซื้อ “อาม่า มารีน” เพื่อช่วยลดภาระการบริหารงานด้านการขนส่งของบริษัท เนื่องจากสามารถว่าจ้างให้ “อาม่า มารีน” ขนส่งน้ำมันให้บางส่วน โดยที่บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มศักยภาพในด้านลอจิสติกส์ให้กับบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น พร้อมออกหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาทเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ และขยายธุรกิจของบริษัท
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2559 เพื่อพิจารณาอนุมัติให้ บริษัท พีทีจี โลจิสติกส์ จำกัด (ซึ่ง PTG ถือหุ้น 99.97%) หรือ PTGLG เข้าซื้อหุ้นบริษัท อาม่า มารีน จำกัด (AMA) ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางทะเล และให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางบก จำนวน 518,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 100 บาท ในราคาหุ้นละ 1,200 บาท หรือคิดเป็น 32.01% ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดหลังการเพิ่มทุนของ AMA คิดเป็นเงิน 621.60 ล้านบาท
โดยแต่งตั้ง บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) (KGI) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินอิสระของบริษัทฯ ซึ่งการเข้าซื้อ อาม่า มารีนฯ ในครั้งนี้บริษัทฯ เล็งเห็นว่าจะเป็นการช่วยลดภาระการบริหารงานด้านการขนส่งของบริษัท เนื่องจากสามารถว่าจ้างให้ อาม่า มารีน ขนส่งน้ำมันให้บางส่วน โดยที่บริษัทสามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มศักยภาพในด้านลอจิสติกส์ให้แก่บริษัทฯ มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีมติให้บริษัทฯ ออกและเสนอขายหุ้นกู้ภายในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ และขยายธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้ บริษัทจะทยอยออกและเสนอขายหุ้นกู้ตามความจำเป็นในการใช้เงินของบริษัทเพื่อไม่ให้เกิดภาระทางการเงินกับบริษัท โดยอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในขณะที่ออก
“บริษัทฯ มียอดสะสมการจำหน่ายน้ำมันของ 9 เดือนที่ผ่านมามากกว่าเป้าที่วางไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ 20% และบริษัทฯ จะรักษาอัตราการเพิ่มขึ้นให้เพิ่มมากขึ้น หากราคาน้ำมันจะยังคงใกล้เคียงกับช่วงที่ผ่านมาจะส่งผลทำให้รายได้จากการขาย และบริการเติบโตน้อยกว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมัน แต่ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังคงเป้า EBITDA ที่ 30-40% ตามอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวสูงขึ้น”
บริษัทฯ คาดการณ์ว่าปริมาณการใช้น้ำมันในไตรมาส 4 จะกลับมาสูงขึ้น เนื่องจากเข้าสู่เทศกาลท่องเที่ยว รวมถึงนโยบายสนับสนุนการเกษตร และการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ประกอบกับราคาน้ำมันปรับลงมามากทำให้มีแนวโน้มในการใช้น้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น บริษัทฯ ยังคงเป้าการเติบโตตามที่คาดไว้เมื่อต้นปี และยังคงเป้าหมายในการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจพลังงานตามแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ รวมถึงยังคงมุ่งขยายสถานีบริการอย่างต่อเนื่อง ทั้งถนนสายรอง และถนนสายหลัก เพื่อสามารถรองรับการให้บริการได้อย่างเต็มที่