สัปดาห์ที่ผ่านมา ประเด็นที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้นการออกสื่อของธนาคารกลางขนาดใหญ่ทั้ง 2 ทั้ง FED ของสหรัฐฯ และ ECB ธนาคารกลางของกลุ่มยูโรโซน ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งสัญญาณของความผันผวนที่ยังต้องเผชิญกันต่อ เพราะทิศทางของแถลงการณ์ของธนาคารกลางทั้ง 2 นั้นช่างสวนทางกันมาก ทำให้ในอนาคตเศรษฐกิจโลกอาจยังคงต้องมีการเผชิญหน้าต่อความผันผวนอีกรอบ
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ฟื้นตัวกันขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่รับการกระตุ้นเศรษฐกิจมาอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา จนมาถึงจุดที่ FED เริ่มถอนสารพัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพื่อให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว แต่ทางฝั่ง ECB กลับยังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง จนต้องงัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อดูจากปฏิกิริยาของนักลงทุนต่อทิศทางนโยบายการเงินของ 2 ธนาคารกลางนี้แล้ว อาจทำให้ในอนาคตเศรษฐกิจอาจเกิดการสะดุดอีกรอบ แม้ทาง ECB จะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แต่หากยังเป็นมาตรการเดิมๆ อย่างการเพิ่มวงเงิน หรือการลดอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำสุดขีดอยู่แล้ว เศรษฐกิจยูโรโซนคงไม่มีการฟื้นตัวให้เห็นมากนัก โดยเฉพาะประเด็นลดอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดปัญหากับดักสภาพคล่องที่ไม่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจหนัก แต่กลับจะยิ่งชะลอตัวเมื่อต้องทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นแล้วเหมือนกับที่นักลงทุนต่างเจอกันอยู่กับตัวเมื่อ FED ต้องทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเดือนธันวาคม
สำหรับผลต่อราคาทองคำนั้นอาจได้เห็นการย่อตัวลงอีกครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่ FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก และอาจฟื้นตัวไม่มากหาก ECB มีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจริงตามที่บอกไว้ เนื่องจากสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นอาจมีผลน้อยกว่าค่าเงินยูโรที่จะอ่อนค่าลงอย่างหนัก และหนุนค่าเงินดอลลาร์ให้แข็งค่าขึ้นอีกแรงนั่นเอง
หากพูดถึงกลยุทธ์ที่เหมาะสมในช่วงนี้อาจต้องเป็นการเก็งกำไร หรือการซื้อขายระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากความผันผวนยังคงมีอยู่ หรือหากราคาทองคำมีการย่อตัวลงอย่างหนัก การนำสัญญาอนุพันธ์เข้ามาช่วยเพิ่มกำไร อย่างสัญญา Gold Future ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่น่าสนใจ
กมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ และผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด