EPG เปิดแผนปี 2559/60 ตั้งงบลงทุนด้านนวัตกรรมร่วม 100 ล้านบาท เสริมแกร่ง 3 ธุรกิจหลัก รองรับการเติบโตของตลาดใน และต่างประเทศ เดินหน้าพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ ตั้งเป้าปี 2560/61 เพิ่มสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเป็น 70% ระบุปีหน้า AEROKLAS จะเป็นอีกหนึ่ง Star ในกลุ่มดันยอดขาย EPG โตทะลุ 10,000 ล้านบาท สุดปลื้มบริษัทมะกันดึง AEROFLEX จ่อร่วมพัฒนาฉนวนกันความร้อน/เย็น เกรดซูเปอร์พรีเมียม -253 C สำหรับยานอวกาศส่งสำรวจดาวอังคารรายแรกของโลก พร้อมต่อยอดใช้กับอุตสาหกรรมรถยนต์ระบบไฮโดรเจน เทรนด์ใหม่รถยนต์แห่งอนาคต
ดร.ภวัฒน์ วิทูรปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท อีสเทิร์น โพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์ และพลาสติกแปรรูปชั้นนำของโลก เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานในปี 2559/60 (เม.ย.59-มี.ค.60) ว่า EPG ยังคงให้ความสำคัญต่อการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์ และพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพ และอยู่ได้กับทุกการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยในปี 2559/60 ได้ตั้งงบในการลงทุนด้านนวัตกรรมประมาณ 100 ล้านบาท ในการศึกษาและพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่สินค้าทั้ง 3 กลุ่ม คือ ฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ AEROFLEX ชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยาน ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS และบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้แบรนด์ EPP
โดย EPG จะให้ความสำคัญต่อการขยายตลาดทั้งใน และต่างประเทศเพิ่มขึ้น ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการส่งออกและรายได้จากบริษัทย่อย และบริษัทร่วมในต่างประเทศเป็น 70% ในปี 2560/61 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนประมาณ 62% ด้าน AEROFLEX จะรุกตลาดฉนวนกันความร้อน/เย็น ในกลุ่มประเทศ AEC เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีแนวโน้มการลงทุนในการก่อสร้างสูงขึ้น ส่วนประเทศญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา จะรุกตลาดโรงงานฟามาซูติคอล และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งมักใช้ฉนวนยางกันความร้อน/เย็น ในระบบ Clean room/ หุ้มท่อแอร์และท่อ Boiler และหุ้มท่อโลหะพิเศษ โดยได้พัฒนาตลาดลูกค้ากลุ่มนี้ไปบ้างแล้ว
นอกจากนี้ AEROFLEX อยู่ระหว่างการตัดสินใจเข้าร่วมพัฒนาฉนวนกันความเย็นที่มีคุณสมบัติพิเศษ (เกรดซูเปอร์ พรีเมียม) ทนความเย็นได้ถึง -253 C กับบริษัทผู้ผลิตยานอวกาศที่จะไปสำรวจดาวอังคาร และสถานีอวกาศ เพื่อใช้หุ้มถังเชื้อเพลิง และระบบท่อในยานอวกาศ ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีหน้า และหากประสบผลสำเร็จจะเป็นโอกาสขยายธุรกิจไปสู่ฉนวนกันความร้อน/เย็น เพื่อใช้กับรถยนต์ระบบไฮโดรเจน และสถานีเติมไฮโดรเจน ซึ่งจะเป็นเทรนด์ของรถยนต์ในอนาคต
ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ AEROKLAS จะทำให้ EPG เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยมีคำสั่งซื้อสินค้ากลุ่ม Canopy และ Deck cover เพิ่มขึ้นจากรถกระบะโมเดลใหม่ๆ และกำลังพัฒนาสินค้าใหม่จากโพลีเมอร์ และพลาสติกทดแทนการใช้โลหะเพื่อลดน้ำหนักของรถยนต์ทำให้ประหยัดพลังงาน
นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างหารือกับค่ายรถยนต์ชื่อดังที่เริ่มเจาะตลาดรถกระบะ และต้องการให้ AEROKLAS ร่วมพัฒนาชิ้นส่วนอุปกรณ์ และตกแต่งยานยนต์คุณภาพพรีเมียมอีกด้วย ด้าน TJM ได้ย้ายฐานการผลิตจากเซินเจิ้น ไปเซี่ยงไฮ้เรียบร้อยแล้ว โดยฐานผลิตในประเทศไทยเริ่มผลิตสินค้าป้อนให้แก่ค่ายรถยนต์แล้ว และภายใน 2 ปีข้างหน้า จะตั้งสาขา TJM ของตนเอง 10 แห่งในประเทศออสเตรเลีย และให้แฟรนไชส์ TJM เพิ่มอีก 8 แห่ง ในสหรัฐอเมริกา
ความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน AEROKLAS มาเลเซีย อยู่ระหว่างทดสอบเครื่องจักรผลิตในประเทศมาเลเซีย คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ช่วงต้นปี 2559 หลังการเปิดเขตเศรษฐกิจอาเซียนอย่างเป็นทางการ บริษัทนี้มีทุนจดทะเบียนเริ่มแรกประมาณ 30 ล้านบาท โดย AEROKLAS ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ EPG ถือหุ้นในสัดส่วน 70% และที่เหลือเป็นของพาร์ตเนอร์ในมาเลเซีย โดยใช้เป็นฐานการผลิตและจำหน่ายในประเทศมาเลเซีย และส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศมุสลิมกว่า 10 ประเทศในอนาคต
ดร.ภวัฒน์ กล่าวต่อถึงธุรกิจบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม EPP ว่า จากที่คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้จัดตั้งโรงงานใหม่ EPP Phase II ซึ่งตั้งอยู่ในสวนอุตสาหกรรมไอพีพี จ.ระยอง เพื่อเพิ่มศักยภาพ และกำลังการผลิตสินค้าเพื่อรองรับออเดอร์ทั้งใน และต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นนั้น ขณะนี้เครื่องจักร In-line High Speed Thermoforming, PET และ PP production lines จำนวน 2 เครื่อง พร้อมเดินเต็มสูบแล้ว และในช่วงต้นปีหน้าจะนำเข้าเครื่องจักรใหม่อีก 3 เครื่อง โดยจะสามารถเดินเครื่องผลิตได้ในไตรมาสแรกของปี 2559/60 ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 32,000 ตัน/ปี จากเดิมที่ผลิตได้ 24,000 ตัน/ปี EPP Phase II สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านแรงงานลงถึง 70% จากเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูง และมาตรฐานโรงงานระดับ Food Grade จึงเป็นโรงงานต้นแบบที่ใช้ในการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ
ส่วนผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีเช่นเดียวกับครึ่งปีแรก เนื่องจากทุกกลุ่มสินค้าเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน มีคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้มั่นใจว่า การเติบโตในปีนี้ (เม.ย.58-มี.ค.59) จะเป็นไปตามเป้าหมาย ที่ 25-30% หรือประมาณ 8,500-9,000 ล้านบาท และจะยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง