xs
xsm
sm
md
lg

บมจ. ธนพิริยะ เริ่มซื้อขายในเอ็ม เอ ไอ 18 พ.ย. นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


บมจ. ธนพิริยะ (TNP) ผู้ค้าปลีกค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคจากภูมิภาครายแรก พร้อมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai 18 พ.ย.นี้ หลังขายไอพีโอ 200 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.75 บาท

นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. ธนพิริยะ (TNP) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มบริการ วันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ โดย TNP ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคไม่รวมอาหารสด ภายใต้ชื่อ “ธนพิริยะ” ปัจจุบันมี 12 สาขา แบ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ต 11 สาขา และศูนย์ค้าส่ง 1 สาขา ทุกสาขาตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงราย ถือเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งภูมิภาครายแรกที่เข้าจดทะเบียนใน mai

ทั้งนี้ TNP มีทุนชำระแล้ว 200 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 200 ล้านหุ้น เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 11-13 พฤศจิกายน 2558 ในราคาหุ้นละ 1.75 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 350 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,400 ล้านบาท มีบริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

นายธวัธชัย พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บมจ. ธนพิริยะ (TNP) กล่าวว่า บริษัทเติบโตคู่กับจังหวัดเชียงรายมายาวนานกว่า 25 ปี ด้วยความเข้าใจวิถีชีวิตของผู้บริโภคในพื้นที่ การเลือกทำเลที่เหมาะสม ตลอดจนการบริหารจัดการคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทฯ สามารถขยายสาขาได้ถึง 12 สาขาในจังหวัดเชียงราย การนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปขยายสาขาเพิ่มเติม สร้างศูนย์กระจายสินค้า ชำระหนี้กับสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายตัวจากการท่องเที่ยว และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ TNP 3 อันดับแรก หลังเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไป ได้แก่ กลุ่มพุฒิพิริยะ ถือหุ้น 72.50% กลุ่มพันธุ์วงศ์กล่อม ถือหุ้น 3.75% และนายสุวิชญ ศิริไกรวัฒนาวงศ์ ถือหุ้น 1.19% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 40.17 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในรอบ 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (1 ตุลาคม 2557-30 กันยายน 2558) ซึ่งเท่ากับ 34.74 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.04 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิที่เหลือหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองต่างๆ ตามกฎหมาย


กำลังโหลดความคิดเห็น