บมจ.ธนพิริยะ เล็งขาย IPO กลางเดือนนี้ เบื้องต้น คาดราคาอยู่ระหว่าง 2.2-2.5 บาท พร้อมเทรดในตลาด mai 18 พ.ย.นี้ ผู้บริหารมั่นใจนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในธนพิริยะ และให้การตอบรับที่ดี
นายรัฐชัย ธีระธนาวัฒน์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP เปิดเผยว่า TNP มีความพร้อมที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 200 ล้านหุ้น ทั้งนี้เบื้องต้นคาดว่าราคาไอพีโอจะมีส่วนลดให้แก่นักลงทุนถึง 20-30% จากช่วงราคาพื้นฐานที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้จะอยู่ที่ 2.2-2.5 บาท/หุ้น และจะเข้าซื้อขายในตลาด mai ในกลางเดือนนี้
บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่รวมอาหารสดในจังหวัดเชียงราย ซึ่งธุรกิจของ TNP เข้าใจง่าย และอยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ประกอบกับจุดแข็งสำคัญ คือ ระบบการจัดการภายในที่มีคุณภาพ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า และคู่ค้าทางธุรกิจ ตลอดจนความเข้าใจวิถีชีวิตของคนท้องถิ่น ทำให้ผลการดำเนินงานของธนพิริยะที่ผ่านมา มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ มีการขยายสาขาออกไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง TNP เป็นผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งท้องถิ่นรายแรกที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งภายหลังจากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯ จะมีโอกาสขยายธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
ด้าน นายธวัชชัย พุฒิพิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP ระบุว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจ ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของคนไทยที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ การควบคุมภายในที่ดี และการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
“จังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ และเป็นประตูด่านสำคัญทางเศรษฐกิจจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่ง TNP มองเห็นโอกาสทางธุรกิจจากการขยายสาขาอีก 3 สาขาจากปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขารวมกันทั้งสิ้น 12 สาขา”
สำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555-2557) บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 944 ล้านบาท 1,040 ล้านบาท และ 1,202 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยกว่า 11% ต่อปี ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 7.1 ล้านบาท 16.6 ล้านบาท และ 45.4 ล้านบาทตามลำดับ ส่วนผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2558 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 633.6 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 14.8 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายรักษาระดับรายได้ และกำไรสุทธิให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตราว 12% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,202 ล้านบาท และกำไรจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากปีก่อนที่อยู่ที่ 45.4 ล้านบาท ขณะที่บริษัทฯ ก็มีแผนลดค่าใช้จ่าย ส่งผลทำให้กำไรสุทธิปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ปีนี้สัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจค้าปลีก 64% และธุรกิจค้าส่ง 36% และในปี 59 สัดส่วนค้าปลีกก็จะขยับเพิ่มขึ้นเป็น 73% และที่เหลือเป็นค่าส่ง