แบงก์ชาติ คาดสัดส่วนการชำระเงินผ่านทางเลือกใหม่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งการโอนเงินข้ามแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินออนไลน์ หรืออี-วอลเล็ต การโอนแบบเรียลไทม์ หรือโทรศัพท์มือถือจะเพิ่มขึ้นทั่วโลก โดยประเมินว่าในปี 60 จะขายตัวได้เกือบ 60% พร้อมคาดการแข่งขันการให้บริการทางการเงินใหม่ๆ ในอนาคตจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น หวั่นไวรัสมัลแวร์สร้างความเสียหาย แนะให้ความรู้ผู้ใช้บริการโอนเงินผ่านอี-วอลเล็ต
นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน กล่าวในงานเปิดตัว “บริการโอนเงินข้ามแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินออนไลน์ของผู้ให้บริการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้เครือข่ายโทรศัพท์มือถือ 3 ค่าย ประกอบด้วย ดีแทค ทรูมูฟเอช และเอไอเอส โดยระบุว่า ธปท. รู้สึกเป็นห่วงว่าไวรัสมัลแวร์อาจเข้ามาสร้างความเสียหายผู้ใช้บริการโอนเงินผ่านกระเป๋าเงินออนไลน์ ดังนั้น ผู้ให้บริการต้องให้ความรู้ และแนะนำให้ผู้ใช้บริการทราบ และตระหนักระวังภัยจากมัลแวร์ที่จะเข้ามาสร้างความเสียหายในการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านกระเป๋าเงินออนไลน์
ทั้งนี้ ตามแผนพัฒนาการระบบสถาบันการเงินระยะ 3 นั้น ทาง ธปท.ตั้งเป้าหมายให้การบริการทางการเงินก้าวเข้าสู่มาตรฐานการให้บริการที่ดียิ่งขึ้นแบบ Banking anytime any device ซึ่งผู้บริโภคมีความสะดวกมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าการแข่งขันการให้บริการทางการเงินในอนาคตจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานไม่ต้องการเห็นการลงทุนลักษณะที่ซ้ำซ้อน
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า ผลสำรวจการใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถือจัดทำโดยมาสเตอร์การ์ด พบว่า คนไทยร้อยละ 58.8 เคยใช้จ่ายผ่านโทรศัพท์มือถืออย่างน้อย 1 ครั้งในปี 2557 ซึ่งเป็นภาพสะท้อนแนวโน้มทั่วโลกที่ธุรกิจอี คอมเมิร์ซ หรือโมบาย คอมเมิร์ซ จะทำให้ระบบการชำระเงินพัฒนาอย่างมาก และผู้บริโภคใช้ระบบการชำระเงินแบบใหม่ๆ เป็นที่คาดการณ์ว่าสัดส่วนการชำระเงินผ่านทางเลือกใหม่ เช่น การโอนเงินข้ามแอปพลิเคชันกระเป๋าเงินออนไลน์ (อี-วอลเล็ต) การโอนแบบเรียลไทม์ หรือโทรศัพท์มือถือจะเพิ่มขึ้นทั่วโลก จากปัจจุบันมีสัดส่วนร้อยละ 43 ในปี 2555 เพิ่มเป็นร้อยละ 59 ในปี 2560