ภาพรวมตลาด TFEX ในปีนี้เติบโตขึ้นเฉลี่ย 30% เทียบกับปีที่แล้ว และคาดว่าปีหน้าจะมีแนวโน้มที่ตลาดอนุพันธ์จะเติบโตมากขึ้น เพราะ AFET เข้ามาควบรวมทำให้ได้ฐานนักลงทุนจากตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าเพิ่มตามมาด้วย แล้วก็ยังมีนักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาเทรดหลังเปิด AEC อีก
ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX กล่าวว่า หลังจากควบรวมตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า หรือ AFET เข้ากับตลาดซื้อขายล่วงหน้า TFEX แล้วอำนาจบริหารจะอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.ซึ่งทาง ก.ล.ต.ได้อนุมัติให้สินค้าเกษตรเป็นสินค้าตาม พ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้อนุมัติให้ ดำเนินการซื้อขายอาร์เอสเอส 3 ฟิวเจอร์ (สินค้ายางแผ่นรมควัน) ได้เป็นสินค้าตัวแรก ซึ่งก่อนจะเริ่มซื้อขายจะทำการแจ้งไปยัง AFET เป็นเวลาล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าได้รับทราบ ขณะเดียวกัน TFEX ก็จะไม่ออกสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเดือนใหม่ ซึ่งเฉลี่ยคร่าวๆ ประมาณ 7 เดือน โดยจะมีสินค้าเหมือนกันซื้อขายกันใน 2 ตลาด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนที่มีสัญญาซื้อขายในตลาด AFET และปิดสัญญามาซื้อขายในตลาด TFEX ได้ทันที
ดร.รินใจ ระบุว่า หลังจากเปิดประชาคมอาเซียนแล้ว นักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านจะเข้ามาลงทุนในตลาด TFEX ได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานที่กำกับดูแลทางการเงิน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. มีความยืดหยุ่นในการอนุญาตินักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้นักลงทุนจากต่างประเทศได้เข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีข้อจำกัดเหมือนเช่นสมัยก่อน
“ถ้าประเทศเพื่อนบ้านมีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจไปในทิศทางที่เติบโตดีขึ้น และประชาชนในประเทศมีความรู้ด้านการลงทุนที่หลากหลายขึ้น ก็มีโอกาสที่ TFEX จะไปประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ประเทศไทยเข้ามาซื้อขายได้ในอนาคต” ดร.รินใจ กล่าว
พร้อมกันนี้ คาดการณ์ว่าจะเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาในอนาคต โดยมีโบรกเกอร์ 4 ราย ได้แก่ KGI กสิกร ภัทร และออสสิริส ฟิวเจอร์ส เข้ามาช่วยกระตุ้นวอลุ่มเทรดเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 400 สัญญา/วัน เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยประมาณ 1,200 สัญญา และช่วงที่สูงที่สุดอยู่ที่ 7,000 สัญญา/วัน
หลังจากควบรวม 2 ตลาดแล้ว โบรกเกอร์ที่เข้ามาใหม่จะมีความแตกต่างจากโบรกฯ ที่ให้อยู่เดิมมากน้อยแค่ไหน ทั้งโบรกฯ ทองคำ และโบรกฯ หุ้น
ดร.รินใจ ยืนยันว่า การควบรวม TFEX กับ AFET ไม่กระทบปริมาณซื้อขาย เนื่องจากสินค้าตัวแรกของ AFET ที่จะนำเข้ามาเข้ามาซื้อขายในตลาด TFEX คือ RSS3 (ยางแผ่นรมควัน) ซึ่งเป็นสินค้าที่มีศักยภาพ และความต้องการในตลาด เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิต และส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก เพราะฉะนั้นในเชิงธุรกิจประเทศไทยมีพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ว่า TFEX จะสามารถต่อยอดจาก AFET ไปในการเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้หรือไม่
“ตอนนี้มีความกดดันเนื่องจากเมื่อย้ายเข้ามาอยู่ TFEX แล้วฐานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้งระบบของ TFEX มีการเชื่อมต่อกับผู้ลงทุนในต่างประเทศอยู่แล้ว แต่การจะสร้างสภาพคล่องนั้นมีความสำคัญมากกว่าการสร้างฐานลูกค้า และไม่สามารถใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ได้” ดร.รินใจ กล่าว
พร้อมกันนี้ ดร.รินใจ ระบุว่า ภาพรวมตลาด TFEX ในปีนี้เติบโตขึ้นเฉลี่ย 30% เทียบกับปีก่อนหน้าโดยเป็นไปตามเป้าหมายที่ประเมินไว้ ซึ่งปีที่แล้วมียอดซื้อขายอยู่ที่ 147,000 สัญญา/วัน ขณะที่ในปีนี้มียอดการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 199,000 สัญญา/วัน ขณะที่ในส่วนของความนิยมในผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง โดยปีที่แล้ว Single Stock Futures ได้รับความนิยมอย่างสูงเป็นอันดับ 1 ส่วน SET50 Futures ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 และ Gold Futures เป็นอันดับที่ 3 ขณะที่ในปีนี้ SET50 Futures ได้รับความนิยมมีปริมาณการซื้อขายเป็นอันดับ 1 ขณะที่ Single Stock Futures เป็นอันดับที่ 2 และ Gold Futures ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 3 โดยเฉพาะ SET50 Futures ในปีนี้ที่ตลาดมีความผันผวนสูงจึงได้รับความนิยมอย่างมาก มีปริมาณการซื้อขายจำนวนมาก อีกทั้งมีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี จึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่ในส่วนของสัดส่วนนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นจากตลาดรวมทั้งหมดจากเดิมที่ 9% เพิ่มขึ้นมาเป็น 11% แต่หากพิจารณาเฉพาะ SET50 Futures จะอยู่ที่ประมาณ 20%
ขณะที่ในปีหน้าเตรียมที่จะปรับปรุงในเรื่องสภาพคล่องของตลาดให้มีเสถียรภาพมากขึ้น เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์มากขึ้น อีกทั้งจะมีการทำการตลาดในต่างประเทศเพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนใน TFEX ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะให้บริการในปีหน้า นอกเหนือจาก RSS3 ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ จะมีการพิจารณาคัดเลือกสินค้าที่มีศักยภาพมีความต้องการในอนาคตเข้ามาเพิ่มตามความเหมาะสม
ดร.รินใจ ชาครพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX กล่าวว่า หลังจากควบรวมตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า หรือ AFET เข้ากับตลาดซื้อขายล่วงหน้า TFEX แล้วอำนาจบริหารจะอยู่ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.ซึ่งทาง ก.ล.ต.ได้อนุมัติให้สินค้าเกษตรเป็นสินค้าตาม พ.ร.บ.สัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้อนุมัติให้ ดำเนินการซื้อขายอาร์เอสเอส 3 ฟิวเจอร์ (สินค้ายางแผ่นรมควัน) ได้เป็นสินค้าตัวแรก ซึ่งก่อนจะเริ่มซื้อขายจะทำการแจ้งไปยัง AFET เป็นเวลาล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อให้ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าได้รับทราบ ขณะเดียวกัน TFEX ก็จะไม่ออกสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเดือนใหม่ ซึ่งเฉลี่ยคร่าวๆ ประมาณ 7 เดือน โดยจะมีสินค้าเหมือนกันซื้อขายกันใน 2 ตลาด เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนที่มีสัญญาซื้อขายในตลาด AFET และปิดสัญญามาซื้อขายในตลาด TFEX ได้ทันที
ดร.รินใจ ระบุว่า หลังจากเปิดประชาคมอาเซียนแล้ว นักลงทุนจากประเทศเพื่อนบ้านจะเข้ามาลงทุนในตลาด TFEX ได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานที่กำกับดูแลทางการเงิน เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. มีความยืดหยุ่นในการอนุญาตินักลงทุนไปลงทุนต่างประเทศ และเปิดโอกาสให้นักลงทุนจากต่างประเทศได้เข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์เพิ่มมากขึ้นอย่างไม่มีข้อจำกัดเหมือนเช่นสมัยก่อน
“ถ้าประเทศเพื่อนบ้านมีการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจไปในทิศทางที่เติบโตดีขึ้น และประชาชนในประเทศมีความรู้ด้านการลงทุนที่หลากหลายขึ้น ก็มีโอกาสที่ TFEX จะไปประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ ประเทศไทยเข้ามาซื้อขายได้ในอนาคต” ดร.รินใจ กล่าว
พร้อมกันนี้ คาดการณ์ว่าจะเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาในอนาคต โดยมีโบรกเกอร์ 4 ราย ได้แก่ KGI กสิกร ภัทร และออสสิริส ฟิวเจอร์ส เข้ามาช่วยกระตุ้นวอลุ่มเทรดเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 400 สัญญา/วัน เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ยประมาณ 1,200 สัญญา และช่วงที่สูงที่สุดอยู่ที่ 7,000 สัญญา/วัน
หลังจากควบรวม 2 ตลาดแล้ว โบรกเกอร์ที่เข้ามาใหม่จะมีความแตกต่างจากโบรกฯ ที่ให้อยู่เดิมมากน้อยแค่ไหน ทั้งโบรกฯ ทองคำ และโบรกฯ หุ้น
ดร.รินใจ ยืนยันว่า การควบรวม TFEX กับ AFET ไม่กระทบปริมาณซื้อขาย เนื่องจากสินค้าตัวแรกของ AFET ที่จะนำเข้ามาเข้ามาซื้อขายในตลาด TFEX คือ RSS3 (ยางแผ่นรมควัน) ซึ่งเป็นสินค้าที่มีศักยภาพ และความต้องการในตลาด เนื่องจากประเทศไทยเป็นผู้ผลิต และส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก เพราะฉะนั้นในเชิงธุรกิจประเทศไทยมีพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ว่า TFEX จะสามารถต่อยอดจาก AFET ไปในการเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้หรือไม่
“ตอนนี้มีความกดดันเนื่องจากเมื่อย้ายเข้ามาอยู่ TFEX แล้วฐานที่มีขนาดใหญ่ขึ้น อีกทั้งระบบของ TFEX มีการเชื่อมต่อกับผู้ลงทุนในต่างประเทศอยู่แล้ว แต่การจะสร้างสภาพคล่องนั้นมีความสำคัญมากกว่าการสร้างฐานลูกค้า และไม่สามารถใช้ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ได้” ดร.รินใจ กล่าว
พร้อมกันนี้ ดร.รินใจ ระบุว่า ภาพรวมตลาด TFEX ในปีนี้เติบโตขึ้นเฉลี่ย 30% เทียบกับปีก่อนหน้าโดยเป็นไปตามเป้าหมายที่ประเมินไว้ ซึ่งปีที่แล้วมียอดซื้อขายอยู่ที่ 147,000 สัญญา/วัน ขณะที่ในปีนี้มียอดการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 199,000 สัญญา/วัน ขณะที่ในส่วนของความนิยมในผลิตภัณฑ์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง โดยปีที่แล้ว Single Stock Futures ได้รับความนิยมอย่างสูงเป็นอันดับ 1 ส่วน SET50 Futures ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 2 และ Gold Futures เป็นอันดับที่ 3 ขณะที่ในปีนี้ SET50 Futures ได้รับความนิยมมีปริมาณการซื้อขายเป็นอันดับ 1 ขณะที่ Single Stock Futures เป็นอันดับที่ 2 และ Gold Futures ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 3 โดยเฉพาะ SET50 Futures ในปีนี้ที่ตลาดมีความผันผวนสูงจึงได้รับความนิยมอย่างมาก มีปริมาณการซื้อขายจำนวนมาก อีกทั้งมีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี จึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างประเทศ ขณะที่ในส่วนของสัดส่วนนักลงทุนพบว่า นักลงทุนต่างประเทศในปีนี้เพิ่มขึ้นจากตลาดรวมทั้งหมดจากเดิมที่ 9% เพิ่มขึ้นมาเป็น 11% แต่หากพิจารณาเฉพาะ SET50 Futures จะอยู่ที่ประมาณ 20%
ขณะที่ในปีหน้าเตรียมที่จะปรับปรุงในเรื่องสภาพคล่องของตลาดให้มีเสถียรภาพมากขึ้น เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในตลาดอนุพันธ์มากขึ้น อีกทั้งจะมีการทำการตลาดในต่างประเทศเพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศมีความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาลงทุนใน TFEX ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะให้บริการในปีหน้า นอกเหนือจาก RSS3 ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ จะมีการพิจารณาคัดเลือกสินค้าที่มีศักยภาพมีความต้องการในอนาคตเข้ามาเพิ่มตามความเหมาะสม