บล.เอเชียเวลท์ ชี้ดัชนีหุ้นไทยจะได้รับปัจจัยบวกต่างประเทศ ดันตลาดปีหน้าฟื้นตาม ศก.โลก พร้อมระบุมาตรการต่างๆ ของธนาคารกลางหลักของโลกที่สนับสนุนการขยายตัวทาง ศก.เป็นบวก และปีหน้า ศก.โลกจะฟื้นตัวชัดเจน
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเชีย เวลท์ จำกัด กล่าวว่า ในสัปดาห์นี้มีปัจจัยบวกเข้ามาจากการที่ธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้ และลดอัตราเงินสดสำรองทางการลงไปอีก ซึ่งเหนือความคาดการณ์ของตลาด ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเป็นบวก และประธานธนาคารยุโรป (ECB) ได้ให้นโยบายเชิงบวกในการที่จะขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่า ECB จะขยาย QE ไปอีกในช่วงไตรมาส 4 นี้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกใหญ่ทั้ง 2 ปัจจัย
ด้านตัวเลขทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ทั้งตัวเลข PMI ของสหรัฐฯ ตัวเลข Composite PMI ของยูโรโซน และตัวเลข Manufacturing PMI ของญี่ปุ่น ในขณะที่ยังมีลุ้นในวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้ ให้จับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ซึ่งล่าสุด ตลาดคาดว่าไม่น่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ หลังๆ ออกมาดี อาจทำให้ Fed ตัดสินใจยากขึ้นว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยปีนี้หรือไม่ และปิดท้ายสัปดาห์นี้ด้วยการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่น่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยรวมแล้วนโยบายธนาคารกลางเป็นปัจจัยบวกทั้งสัปดาห์
ด้านกลยุทธ์การลงทุนมองเป็นบวกสำหรับปีหน้า เพราะมาตรการต่างๆ ของธนาคารกลางหลักของโลกที่สนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นบวก และปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวชัดเจน ดังนั้น การลงทุนในหุ้นไทย แนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงการโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ เช่น หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้าง หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว และหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์
นายวรุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับ Trading Idea ประจำสัปดาห์นี้ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำซื้อ GUNKUL จากการที่ตัวบริษัทมีการขยายกำลังผลิตกระแสไฟฟ้า และการก่อสร้างต่างๆ โดยเราคาดว่าไตรมาส 3 กำไรจะดีมาก โดยมองว่ากำไรจะมีขนาดใหญ่กว่าครึ่งปีแรก และกำไรไตรมาส 4 จะยังคงดีอยู่ หลังจากที่สร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 87 เมกะวัตต์เสร็จ ซึ่งจะเป็นตัวผลักดันกำไรให้cdj GUNKUL อย่างชัดเจน (GUNKUL ถือหุ้น 67%) และมองไปในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าจากปัจจุบันกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าในส่วนที่บริษัทถือหุ้นอยู่ที่ประมาณ 44 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าในปี 2016 กำลังผลิตจะโตขึ้นไปถึง 178 เมกะวัตต์ และปี 2017 เป็น 322 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้การเติบโตของกำไรบริษัท (EPS growth) นับจากนี้ไป จะเติบโตทบต้นเฉลี่ย 40% ต่อปี และปีนี้คาดว่ากำไรจะเติบโตถึง 49% ในทางเทคนิคมีสัญญาณที่แข็งแกร่ง เพราะเกิดสัญญาซื้อทั้งรายวัน และรายสัปดาห์ ราคาเป้าหมายปีนี้ที่ 32.30 บาท