ORI เผยความคืบหน้าในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายในเดือน ต.ค.นี้ โดยมีแผนที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียน
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยความคืบหน้าในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายในเดือน ต.ค.นี้ โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ ขณะที่บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการ “ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา” ในช่วงต้นไตรมาส 4 เพื่อเป็นการเจาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนศรีราชา ซึ่งมีมูลค่าโครงการถึง 2,500 ล้านบาท เป็นโครงการแรกของบริษัทฯ ที่มีการเปิดในต่างจังหวัด และเป็นอาคารสูงถึง 36 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท โดยผู้อาศัยสามารถสัมผัสวิวทั้งภูเขา และทะเลในรูปแบบ 360 องศา เน้นเจาะ 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มผู้สนใจในการลงทุนซื้อเพื่อปล่อยเช่า กลุ่มคนญี่ปุ่นที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัย และกลุ่มคนในพื้นที่ที่ต้องการขยายครอบครัว ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท
“ปัจจุบันอำเภอศรีราชามีนิคมอุตสาหกรรมที่สำคัญๆ คือ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ปิ่นทอง เหมราช บ่อวิน อมตะซิตี้ อีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งเท่าที่ยกมาให้ดูจะมีผู้ประกอบการ (โรงงาน) มากกว่า 1,100 ราย และกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลพวงมาจากน้ำท่วมในเขตอุตสาหกรรมตอนบนของกรุงเทพฯ และความสะดวกในการเดินทาง ทำให้ความต้องการที่พักอาศัยเป็นสิ่งสำคัญหลักของศรีราชาในขณะนี้” นายพีระพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังพบว่าคอนโดมิเนียม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่ศรีราชา มีอัตราการเข้าใช้มากกว่า 90% โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 47,000 บาทต่อเดือน ขนาดห้องพัก 30-40 ตร.ม. รวมถึงราคาที่ดินเพิ่มขึ้นตารางวาละ 3 แสนบาท ดังนั้น โครงการคอนโดมิเนียมในศรีราชาจึงได้รับความนิยมจากกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อไว้ปล่อยเช่าคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง เนื่องจากเมื่อเทียบจากราคาคอนโดฯ ตารางเมตรละ 6 หมื่น-1.3 แสนบาท จะให้ผลตอบแทนการลงทุนจากค่าเช่าเฉลี่ยปีละมากกว่า 10%
นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มว่า ในอนาคต “ศรีราชา” จะมีความคึกคักไม่แพ้กรุงเทพฯ เพราะด้วยความโดดเด่นของเมืองนิคมอุตสาหกรรม เป็นศูนย์กลางด้านลอจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน โดยศรีราชาเป็นเมืองท่าสำคัญลำดับ 16 ของโลก ที่ทำรายได้ปีละ 2 แสนล้านบาท ทำให้ศรีราชาได้กลายเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ที่มีรายได้มาก
นอกจากนี้ ยังมีโครงการจากภาครัฐมากมาย ทั้งท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่แหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง และโครงการในอนาคต เช่น แผนการขยายเส้นทางมอเตอร์เวย์พัทยา-มาบตาพุต คาดว่าจะเสร็จในปี 60 โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง รถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง โครงการเชื่อมรถไฟแหลมฉบัง-เมืองทวาย ล่าสุด เตรียมพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3
ดังนั้น “ศรีราชา” จึงมีความต้องการที่พักอาศัยในอนาคตเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว บริษัทเล็งเห็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้แก่บริษัท จึงได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม โดยชูจุดเด่นการออกแบบที่เน้นฟังก์ชันความคุ้มค่า รูปแบบการดีไซน์ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายกลุ่มลูกค้าชาวจีน และสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทฯ มีทีมเซลล์อินเตอร์ที่มีศักยภาพ และมีพันธมิตรทางการค้าในต่างประเทศที่ช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนของบริษัทฯ ซึ่งสอดคล้องต่อการเปิดตลาด AEC
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 58 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีกประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด และอาจจะเห็นการเปิดโครงการผสมผสานในรูปแบบคอมมูนิตีมอลล์ได้ในอนาคต ส่วนแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมยังคงมีเพิ่มสูงขึ้น บริษัทฯ เชื่อว่าครึ่งปีหลังตลาดคอนโดฯ ยังคงมีสีสันไม่แพ้ในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากคอนโดฯ เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้มากที่สุด บริษัทฯ เชื่อว่า กำลังซื้อในตลาดคนรุ่นใหม่ยังคงมีอยู่
“โครงการของ ORI ทุกโครงการสามารถตอบสนองความต้องการของกำลังซื้อเหล่านี้ได้เหนือคู่แข่งรายอื่น โดยจะเห็นได้จากการสบช่องทางใหม่ในการเตรียมขยายศักยภาพการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้ “ไนท์บริดจ์” บนทำเลทอง ย่านเกษตร-สะพานใหม่ ตามแผนกลยุทธ์ทางการมองตลาดคอนเซ็ปต์บลูโอเชี่ยน คือ ทำเลศักยภาพใหม่ที่มีคู่แข่งน้อยราย” นายพีระพงศ์ กล่าว
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยความคืบหน้าในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ภายในเดือน ต.ค.นี้ โดยบริษัทฯ มีแผนที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ไปใช้ในการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน และในอนาคต รวมถึงเป็นเงินทุนหมุนเวียน
ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิ ขณะที่บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการ “ไนท์บริดจ์ ดิ โอเชียน ศรีราชา” ในช่วงต้นไตรมาส 4 เพื่อเป็นการเจาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนศรีราชา ซึ่งมีมูลค่าโครงการถึง 2,500 ล้านบาท เป็นโครงการแรกของบริษัทฯ ที่มีการเปิดในต่างจังหวัด และเป็นอาคารสูงถึง 36 ชั้น ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท โดยผู้อาศัยสามารถสัมผัสวิวทั้งภูเขา และทะเลในรูปแบบ 360 องศา เน้นเจาะ 3 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มผู้สนใจในการลงทุนซื้อเพื่อปล่อยเช่า กลุ่มคนญี่ปุ่นที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัย และกลุ่มคนในพื้นที่ที่ต้องการขยายครอบครัว ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท
“ปัจจุบันอำเภอศรีราชามีนิคมอุตสาหกรรมที่สำคัญๆ คือ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง ปิ่นทอง เหมราช บ่อวิน อมตะซิตี้ อีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งเท่าที่ยกมาให้ดูจะมีผู้ประกอบการ (โรงงาน) มากกว่า 1,100 ราย และกำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลพวงมาจากน้ำท่วมในเขตอุตสาหกรรมตอนบนของกรุงเทพฯ และความสะดวกในการเดินทาง ทำให้ความต้องการที่พักอาศัยเป็นสิ่งสำคัญหลักของศรีราชาในขณะนี้” นายพีระพงศ์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังพบว่าคอนโดมิเนียม และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ที่ศรีราชา มีอัตราการเข้าใช้มากกว่า 90% โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 47,000 บาทต่อเดือน ขนาดห้องพัก 30-40 ตร.ม. รวมถึงราคาที่ดินเพิ่มขึ้นตารางวาละ 3 แสนบาท ดังนั้น โครงการคอนโดมิเนียมในศรีราชาจึงได้รับความนิยมจากกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อไว้ปล่อยเช่าคนญี่ปุ่นด้วยกันเอง เนื่องจากเมื่อเทียบจากราคาคอนโดฯ ตารางเมตรละ 6 หมื่น-1.3 แสนบาท จะให้ผลตอบแทนการลงทุนจากค่าเช่าเฉลี่ยปีละมากกว่า 10%
นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มว่า ในอนาคต “ศรีราชา” จะมีความคึกคักไม่แพ้กรุงเทพฯ เพราะด้วยความโดดเด่นของเมืองนิคมอุตสาหกรรม เป็นศูนย์กลางด้านลอจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน โดยศรีราชาเป็นเมืองท่าสำคัญลำดับ 16 ของโลก ที่ทำรายได้ปีละ 2 แสนล้านบาท ทำให้ศรีราชาได้กลายเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ที่มีรายได้มาก
นอกจากนี้ ยังมีโครงการจากภาครัฐมากมาย ทั้งท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่แหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง และโครงการในอนาคต เช่น แผนการขยายเส้นทางมอเตอร์เวย์พัทยา-มาบตาพุต คาดว่าจะเสร็จในปี 60 โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง รถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา-ศรีราชา-แหลมฉบัง โครงการเชื่อมรถไฟแหลมฉบัง-เมืองทวาย ล่าสุด เตรียมพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ให้เป็นสนามบินเชิงพาณิชย์แห่งที่ 3
ดังนั้น “ศรีราชา” จึงมีความต้องการที่พักอาศัยในอนาคตเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว บริษัทเล็งเห็นโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้แก่บริษัท จึงได้เปิดโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม โดยชูจุดเด่นการออกแบบที่เน้นฟังก์ชันความคุ้มค่า รูปแบบการดีไซน์ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นโดยเฉพาะ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายกลุ่มลูกค้าชาวจีน และสิงคโปร์ เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทฯ มีทีมเซลล์อินเตอร์ที่มีศักยภาพ และมีพันธมิตรทางการค้าในต่างประเทศที่ช่วยส่งเสริมการขับเคลื่อนของบริษัทฯ ซึ่งสอดคล้องต่อการเปิดตลาด AEC
นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 58 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่อีกประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมทั้งหมด และอาจจะเห็นการเปิดโครงการผสมผสานในรูปแบบคอมมูนิตีมอลล์ได้ในอนาคต ส่วนแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีหลังว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมยังคงมีเพิ่มสูงขึ้น บริษัทฯ เชื่อว่าครึ่งปีหลังตลาดคอนโดฯ ยังคงมีสีสันไม่แพ้ในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องจากคอนโดฯ เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้มากที่สุด บริษัทฯ เชื่อว่า กำลังซื้อในตลาดคนรุ่นใหม่ยังคงมีอยู่
“โครงการของ ORI ทุกโครงการสามารถตอบสนองความต้องการของกำลังซื้อเหล่านี้ได้เหนือคู่แข่งรายอื่น โดยจะเห็นได้จากการสบช่องทางใหม่ในการเตรียมขยายศักยภาพการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้ “ไนท์บริดจ์” บนทำเลทอง ย่านเกษตร-สะพานใหม่ ตามแผนกลยุทธ์ทางการมองตลาดคอนเซ็ปต์บลูโอเชี่ยน คือ ทำเลศักยภาพใหม่ที่มีคู่แข่งน้อยราย” นายพีระพงศ์ กล่าว