xs
xsm
sm
md
lg

นักลงทุนเลี่ยงภาวะตลาดผันผวนสูงหันเก็บหุ้นบลูชิป ดัชนีจ่อแตะ 1,400 จุด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


คาดแนวโน้มดัชนีฯ หลังผลประชุมเฟด-กนง. ดีดขึ้นทะลุ 1,400 จุด ตลท. เผยพฤติกรรมนักลงทุนเปลี่ยน หันไปเน้นการซื้อขายหุ้นใหญ่เพิ่มขึ้น โดยยึดหุ้นที่มีพื้นฐานแกร่ง หลังภาวะตลาดผันผวนสูง

บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงวันที่ 14-18 ก.ย.58 โดยมองว่า ดัชนีมีแนวต้านที่ 1,400 และ 1,420 จุด ตามลำดับ ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 1,360 และ 1,335 จุด

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคงได้แก่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟด (FOMC) วันที่ 16-17 ก.ย. และการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินไทย (กนง.) วันที่ 16 ก.ย. ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องติดตาม ได้แก่ เครื่องชี้ตลาดที่อยู่อาศัย และดัชนีราคาผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังต้องติดตามข้อมูลการรายงานผลผลิตภาคอุตสาหกรรมยูโรโซน และข้อมูลการค้าญี่ปุ่น

ด้าน นายชัยยศ จิวางกูร ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก มองว่า ในระยะถัดไปดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวสูงถึง 1,400-1,420 จุด เนื่องจากปัจจัยบวกภายนอกตามความคาดหวังว่าจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหลังจากตัวเลขส่งออก และนำเข้าปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน ปัจจัยบวกจากรัฐบาลไทยเร่งออกมาตรการเพื่อกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนส่วนต่างๆ ทั้งธุรกิจขนาดเล็ก และผู้มีรายได้น้อย ทั้งนี้ แนะนำลงทุนหุ้นที่มีปัจจัยบวกรองรับ เช่น กลุ่มธนาคาร และค้าปลีกที่ได้อานิสงส์รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กลุ่มอาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง

รายงานข่าวเพิ่มเติมจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ระบุว่า พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนเริ่มเปลี่ยนแปลงไป โดยในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา สัดส่วนการซื้อขายในหุ้นขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 33% จากเดือน ก.ค. อยู่ที่ 28% และในไตรมาส 1 อยู่ที่ 20% สะท้อนว่านักลงทุนต้องการหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งในช่วงที่ภาวะตลาดมีความผันผวนสูง

ทั้งนี้ พบว่านักลงทุนส่วนใหญ่เข้าซื้อขายหุ้นในกลุ่มสื่อสารที่ให้การจ่ายเงินปันผลดี รวมถึงค้าปลีกและขนส่ง ซึ่งเป็นหุ้นที่ได้รับความนิยมสูงสุด ขณะเดียวกัน กลุ่มอสังหาริมทรัพย์จะได้รับความสนใจลดลงต่อเนื่อง

สำหรับนักลงทุนในประเทศยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดอยู่ที่ 57.07% ของมูลค่าการซื้อขายรวม รองลงมาคือ นักลงทุนต่างชาติ 23.93% นักลงทุนสถาบันในประเทศ 10.06% และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 8.95%
กำลังโหลดความคิดเห็น