ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ย้ำกำไรสุทธิจะยังเติบโตเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 15-20% ขณะรายได้จะเติบโตอยู่ที่ 12-14% และปีนี้ยังมั่นใจเติบโตได้ตามเป้าหมายจากการใช้ 3 กลยุทธ์ตามแผนการทำธุรกิจระยะ 5 ปีฉบับปัจจุบัน “ชัยพัฒน์ ไพฑูรย์” ระบุ เตรียมเสนอบอร์ดฯ พิจารณาแผนธุรกิจฉบับใหม่ระหว่างปี 2558-2562 ในเดือน ต.ค. นี้
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์และนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวถึงการคาดหมายแนวโน้มผลกำไรสุทธิโดยรวมของปี 2558 ว่า น่าจะทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่เมื่อเทียบจากตัวเลขกำไรสุทธิของเมื่อปีก่อน ซึ่งมีทั้งสิ้น 4,400 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการเติบโตของธุรกิจโรงแรมช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซันที่น่าจะเป็นปัจจัยหลักสนับสนุนให้มีการเติบโตได้ในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ เขายังได้คาดการณ์ถึงแนวโน้มอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยในปีนี้ว่าน่าจะเพิ่มขึ้นจากช่วงปีก่อนด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ MINT เตรียมที่จะนำเสนอแผนการทำธุรกิจฉบับใหม่ระยะ 5 ปี (ปี 2558-2562) ภายในเดือนตุลาคมของปีนี้ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ให้พิจารณาทบทวนการเติบโตของผลการดำเนินงาน และพิจารณาเพิ่มเงินลงทุนเพื่อขยายการทำธุรกิจโดยการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องของ MINT จากแผนเดิม (ปี 2557-2561)
สำหรับเงินลงทุนตามแผน 5 ปีในปัจจุบัน MINT จะแบ่งเป็นวงเงินเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ 30,000-32,000 ล้านบาท และเพื่อลงทุนควบรวม และซื้อกิจการ (M&A) อีก 20,00-24,000 ล้านบาท โดยแหล่งที่มาของเงินทุนนั้นจะมาจากกระแสเงินสดในมือ และจากการกู้ยืมเงินในสถาบันทางการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.2 เท่า
ทั้งนี้ จากแผนการทำธุรกิจระยะยาวฉบับปัจจุบันนั้น MINT ได้ตั้งเป้ากำไรสุทธิในแต่ละปีจะเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 15-20% โดยการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีนั้นจะอยู่ที่ 12-14% ต่อปี และปีนี้มั่นใจว่าจะสามารถทำให้รายได้เติบโตไปตามเป้าหมายจากการใช้กลยุธ์ 3 กลยุทธ์ ประกอบด้วย การเพิ่มส่วนต่างรายได้ในตัวแบรนด์ โดยมุ่งเน้นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาเอง การเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์เพื่อให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นการปรับปรุงโรงแรมต่างที่จะแล้วเสร็จในปี 58 นี้ และการใช้กลยุทธ์ในการเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
นายชัยพัฒน์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการเข้าซื้อโรงแรม Tivoli 14 แห่ง ทั้งที่อยู่ในบราซิล และโปรตุเกสนั้น MINT สามารถซื้อโรงแรมดังกล่าวในบราซิลได้ 2 แห่ง และในโปรตุเกสอีก 4 แห่งแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 8 แห่ง คาดว่าน่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ภายในปีนี้
สำหรับผลดำเนินงานของ MINT ครึ่งแรกปี 2558 นั้น บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 22,120 ล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะกำไรสุทธิรวมจะอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เติบโต 32% ทั้งนี้ การเติบโตนั้นจะมาจากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก
ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้รวมดังกล่าวนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการบันทึกบัญชีในรายการพิเศษอันเนื่องจากการตีราคายุติธรรมจากการเข้าซื้อโรงแรม Sun International มูลค่า 650 บาท หากหักรายการพิเศษดังกล่าวนี้ออกไปแล้ว การเติบโตของรายได้รวมจะอยู่ที่ 4% พร้อมกับประเมินเป้าหมายรายได้ปี 59 น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 10% เทียบปี 2558 ที่คาดหมายว่าจะเติบโต 5-7% หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2557 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4,200 บาท/ห้อง/คืน โดยเป็นผลจากการปรับปรุงโรงแรม Anantara ที่ภูเก็ต และเชียงใหม่ ที่จะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2558 นั้นราคาห้องพัก/วัน (ADR) เพิ่มขึ้น 7-10% ขณะที่คาดหมายว่าอัตราการเข้าพัก (OCC) เฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ 65-70% จาก 60% ในปีก่อน โดยเฉพาะไตรมาส 4/58 เป็นช่วงไฮซีซันที่มีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นมาก
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์และนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT กล่าวถึงการคาดหมายแนวโน้มผลกำไรสุทธิโดยรวมของปี 2558 ว่า น่าจะทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่เมื่อเทียบจากตัวเลขกำไรสุทธิของเมื่อปีก่อน ซึ่งมีทั้งสิ้น 4,400 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการเติบโตของธุรกิจโรงแรมช่วงไตรมาส 4 ของทุกปีซึ่งถือเป็นช่วงไฮซีซันที่น่าจะเป็นปัจจัยหลักสนับสนุนให้มีการเติบโตได้ในครึ่งปีหลัง นอกจากนี้ เขายังได้คาดการณ์ถึงแนวโน้มอัตราการเข้าพักของนักท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยในปีนี้ว่าน่าจะเพิ่มขึ้นจากช่วงปีก่อนด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ MINT เตรียมที่จะนำเสนอแผนการทำธุรกิจฉบับใหม่ระยะ 5 ปี (ปี 2558-2562) ภายในเดือนตุลาคมของปีนี้ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ให้พิจารณาทบทวนการเติบโตของผลการดำเนินงาน และพิจารณาเพิ่มเงินลงทุนเพื่อขยายการทำธุรกิจโดยการเข้าซื้อกิจการอย่างต่อเนื่องของ MINT จากแผนเดิม (ปี 2557-2561)
สำหรับเงินลงทุนตามแผน 5 ปีในปัจจุบัน MINT จะแบ่งเป็นวงเงินเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ 30,000-32,000 ล้านบาท และเพื่อลงทุนควบรวม และซื้อกิจการ (M&A) อีก 20,00-24,000 ล้านบาท โดยแหล่งที่มาของเงินทุนนั้นจะมาจากกระแสเงินสดในมือ และจากการกู้ยืมเงินในสถาบันทางการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.2 เท่า
ทั้งนี้ จากแผนการทำธุรกิจระยะยาวฉบับปัจจุบันนั้น MINT ได้ตั้งเป้ากำไรสุทธิในแต่ละปีจะเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 15-20% โดยการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อปีนั้นจะอยู่ที่ 12-14% ต่อปี และปีนี้มั่นใจว่าจะสามารถทำให้รายได้เติบโตไปตามเป้าหมายจากการใช้กลยุธ์ 3 กลยุทธ์ ประกอบด้วย การเพิ่มส่วนต่างรายได้ในตัวแบรนด์ โดยมุ่งเน้นแบรนด์ที่บริษัทพัฒนาเอง การเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์เพื่อให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นการปรับปรุงโรงแรมต่างที่จะแล้วเสร็จในปี 58 นี้ และการใช้กลยุทธ์ในการเข้าซื้อกิจการ และการลงทุนใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
นายชัยพัฒน์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการเข้าซื้อโรงแรม Tivoli 14 แห่ง ทั้งที่อยู่ในบราซิล และโปรตุเกสนั้น MINT สามารถซื้อโรงแรมดังกล่าวในบราซิลได้ 2 แห่ง และในโปรตุเกสอีก 4 แห่งแล้ว ส่วนที่เหลืออีก 8 แห่ง คาดว่าน่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ภายในปีนี้
สำหรับผลดำเนินงานของ MINT ครึ่งแรกปี 2558 นั้น บริษัทฯ มีรายได้รวมทั้งสิ้น 22,120 ล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ขณะกำไรสุทธิรวมจะอยู่ที่ 2,700 ล้านบาท เติบโต 32% ทั้งนี้ การเติบโตนั้นจะมาจากธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก
ทั้งนี้ การเติบโตของรายได้รวมดังกล่าวนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการบันทึกบัญชีในรายการพิเศษอันเนื่องจากการตีราคายุติธรรมจากการเข้าซื้อโรงแรม Sun International มูลค่า 650 บาท หากหักรายการพิเศษดังกล่าวนี้ออกไปแล้ว การเติบโตของรายได้รวมจะอยู่ที่ 4% พร้อมกับประเมินเป้าหมายรายได้ปี 59 น่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 10% เทียบปี 2558 ที่คาดหมายว่าจะเติบโต 5-7% หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2557 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 4,200 บาท/ห้อง/คืน โดยเป็นผลจากการปรับปรุงโรงแรม Anantara ที่ภูเก็ต และเชียงใหม่ ที่จะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ ขณะที่ครึ่งแรกของปี 2558 นั้นราคาห้องพัก/วัน (ADR) เพิ่มขึ้น 7-10% ขณะที่คาดหมายว่าอัตราการเข้าพัก (OCC) เฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ 65-70% จาก 60% ในปีก่อน โดยเฉพาะไตรมาส 4/58 เป็นช่วงไฮซีซันที่มีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นมาก