xs
xsm
sm
md
lg

บล.บัวหลวงเผยเหตุหุ้นสวิงพาสัดส่วนเทรด DW ลุยส่ง 20 ตัวใหม่เพิ่มความคึกคัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หลักทรัพย์บัวหลวง เผยตลาดหุ้นเดือน ส.ค.ผันผวนหนัก พาวอลุ่ม DW มีสัดส่วนต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งระบบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ DW อ้างอิงดัชนี SET50, PTT ติดชาร์ต ลุยส่ง 20 ตัวใหม่ลงตลาด 10 ก.ย.นี้ พร้อมชี้แจง 5 ปัจจัยทำราคา DW วิ่งไม่สอดคล้องต่อราคาหุ้นอ้างอิง

นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการกิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภาพรวมการซื้อขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant: DW) ในเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาว่า ท่ามกลางภาวะตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนักตลอดเดือน ส่งผลให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายเก็งกำไร DW จำนวนมาก โดยสัดส่วนการซื้อขาย DW ต่อการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งระบบเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 3.4% สูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอนุญาตให้มีการออก DW ครั้งแรกในเดือน ก.ค.2552 โดยมีการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรกในกลุ่มดัชนีหลักทรัพย์คิดเป็น 43.4% กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค 14.5% และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ 9.2% รวมทั้งมีการซื้อขาย DW ประเภท Put ในสัดส่วน 58.5% ของปริมาณการซื้อขาย DW ทั้งหมด ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับหุ้นอ้างอิงที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก เป็น DW ที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ซื้อขายสูงถึง 43.2% ของการซื้อขาย DW ทั้งหมด โดยเฉพาะ Put DW รองลงมา DW ที่อ้างอิงหุ้น PTT สัดส่วน 8.7% ซึ่ง Put DW ได้รับความสนใจมากหลังราคาน้ำมันทำนิวโลว์ และอันดับสาม DW ที่อ้างอิงหุ้น ITD สัดส่วน 5.0% โดยเฉพาะ Call DW แม้ไตรมาส 2 งบออกมาขาดทุนก็ตาม แต่นักลงทุนมั่นใจรัฐเดินหน้าโครงการลงทุนจะหนุนให้ครึ่งปีหลังบริษัทจะพลิกมีกำไรได้

สำหรับปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นมาจากปัจจัยทั้งภายใน และต่างประเทศ ได้แก่ เหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ การประกาศตัวเลขภาคการผลิต (PMI) ของจีนต่ำสุดในรอบ 6 ปี จึงกังวลเศรษฐกิจจะชะลอตัว รวมถึงสถานการณ์ไม่สงบระหว่างเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้ และราคาน้ำมันดิบทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 6 ปีครึ่ง สะท้อนความกลัวของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น จึงเทขายหุ้นทั่วโลก ขณะที่ตลาดหุ้นไทยทำนิวโลว์หลุดระดับ 1,300 จุด จึงมีแรงซื้อเก็งกำไร Put DW หุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี ซึ่งถูกกระทบจากราคาน้ำมัน หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว และโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากเหตุระเบิด รวมถึงดัชนี SET50 เพื่อป้องกันความเสี่ยงของพอร์ต อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายเดือน ส.ค.หุ้นไทยมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังจีดีพีของสหรัฐอเมริกาออกมาดี และคลายกังวลจีน หลังรัฐบาลออกมาตรการสนับสนุนตลาดต่อเนื่อง รวมถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ซึ่งเร่งเดินหน้าโครงการลงทุนรัฐ และออกมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ นักลงทุนจึงเข้ามาเก็งกำไร Call DW ในหุ้นกลุ่มเกี่ยวข้องการบริโภคภายในประเทศ เช่น สื่อสาร รับเหมาก่อสร้าง ค้าปลีก เป็นต้น

ปัจจุบัน DW ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือน ส.ค.2558 มีจำนวน 942 รุ่น แบ่งเป็น Call 688 รุ่น และ Put 254 รุ่น มีหุ้นอ้างอิงที่เสนอขายรวม 99 ตัว โดยหลักทรัพย์บัวหลวงมีจำนวน DW สูงสุด คิดเป็น 23.25% ของจำนวนทั้งหมดในตลาด และมีจำนวนหลักทรัพย์อ้างอิงให้เลือกสูงสุดคิดเป็น 70.59% รวมทั้งมีส่วนแบ่งการตลาดเมื่อคิดจากมูลค่าการซื้อขายการซื้อขายสะสมในในเดือน ส.ค.เป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 49.9%

นายบรรณรงค์ กล่าวว่า หลักทรัพย์บัวหลวง ยังเตรียมออก DW ชุดใหม่ จำนวน 20 ตัว ทั้งประเภท Call และ Put อ้างอิง 10 หลักทรัพย์ ได้แก่ ADVANC, AOT, INTUCH, IRPC, JAS, KTB, PTTEP, SCB, TRUE และดัชนี SET50 โดย DW มีอายุ 6 เดือน เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันที่ 10 ก.ย.นี้ และซื้อขายวันสุดท้าย 5 เม.ย.2559 สำหรับ DW ที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 ตัวใหม่จะมีจุดเด่นตรงที่มีอัตราทดสูงถึง 6-8 เท่า ซึ่งจะเหมาะต่อนักลงทุนชอบเก็งกำไรระยะสั้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนได้สอบถามเกี่ยวกับราคา DW กับราคาหุ้นอ้างอิงในบางครั้งเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกัน ทั้งนี้ สาเหตุหลักเกิดจาก 5 กรณี ได้แก่ 1.ผู้ดูแลสภาพคล่องกระจายขาย DW ออกไปมากจนกระทั่งไม่มี DW เพียงที่จะปรับราคา DW ให้สัมพันธ์กับระดับราคาของหุ้นอ้างอิงได้ ดังนั้น การซื้อขาย DW ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้จึงเกิดจากความต้องการซื้อ และความต้องการขายของนักลงทุนโดยทั่วไป ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของผู้ดูแลสภาพคล่อง ดังนั้น นักลงทุนควรติดตามข่าวสาร และประกาศจากเว็บไซต์ผู้ออกฯ รวมถึงหมั่นตรวจสอบราคาที่เหมาะสมของ DW ก่อนการลงทุนทุกครั้งที่ www.blswarrant.com

กรณีที่ 2 DW มีการเสื่อมค่า โดยราคาจะลดลงตามอายุที่เหลือของตราสารที่ลดลง (Time Decay) แม้นักลงทุนอาจคาดการณ์ราคาหุ้นอ้างอิงถูกทาง แต่ควรตรวจสอบค่า Time Decay ซึ่งเป็นค่าที่บอกว่าผ่านไป 1 วัน มูลค่าของ DW จะลดลงกี่เปอร์เซ็นต์หากราคาหุ้นอ้างอิงไม่เปลี่ยนแปลง นักลงทุนจึงควรประเมินกำไรว่าจะคุ้มค่าต่อ Time Decay ของ DW ที่ลดลงหรือไม่

ส่วนกรณีที่ 3 DW มีราคาต่ำ เช่น น้อยกว่า 0.10 บาท จะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอ้างอิงช้า เช่น ราคาหุ้นอ้างอิงเปลี่ยนไป 3-5 ช่อง แต่ราคา DW ไม่เปลี่ยนตาม นักลงทุนจึงต้องตรวจสอบค่าความไว (Sensitivity) ซึ่งจะบอกว่าเมื่อราคาหุ้นอ้างอิงเปลี่ยนแปลงไป 1 ช่องแล้วราคา DW จะเปลี่ยนแปลงไปกี่ช่อง ดังนั้น นักลงทุนที่ต้องการจับจังหวะทำกำไรระยะสั้นควรเลือก DW ที่มีค่าความไวตั้งแต่ 1 ขึ้นไป

กรณีที่ 4 ผู้ออกจะปรับราคา และอัตราการใช้สิทธิ DW เมื่อราคาหุ้นอ้างอิงปรับตัวลงจาก Corporate Action เช่น เพิ่มทุน, จ่ายเงินปันผล, จ่ายหุ้นปันผล และการแตกพาร์ เพื่อรักษาระดับราคา DW ที่ซื้อขายในกระดานไม่ให้ถูกกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นอ้างอิง ดังนั้น นักลงทุนที่จะถือ Put DW ข้ามวันถึงวันที่หุ้นอ้างอิงขึ้นเครื่องหมาย เพราะคิดว่าราคาหุ้นจะลงจาก Corporate Action และทำกำไรจาก Put จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง

สำหรับกรณีสุดท้าย DW ไม่ได้มีการซื้อขายเหมือนหุ้นอ้างอิงตลอดเวลา ซึ่งเกิดจากราคา DW ที่ซื้อขายล่าสุดไม่ได้เกิดขึ้น ณ เวลาเดียวกันกับราคาหุ้นอ้างอิงที่มีการซื้อขายล่าสุด รวมถึงกรณีที่ราคาปิดของ DW ในวันก่อนหน้าไม่สัมพันธ์ต่อราคาปิดของหุ้นอ้างอิงในวันก่อนหน้า นักลงทุนจึงไม่ควรใช้เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคา DW ที่คำนวณจากราคาล่าสุด แต่ควรใช้ราคา Bid-Offer แทน เพราะผู้ดูแลสภาพคล่องมีการปรับราคา Bid-Offer ของ DW ให้สอดคล้องต่อราคาหุ้นอ้างอิงตลอดเวลา แม้ว่า DW ไม่มีการซื้อขายก็ตาม


กำลังโหลดความคิดเห็น