โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เผยสองผู้ต้องหาต่างชาติเริ่มให้การเป็นประโยชน์ เชื่อมโยงทั้งไทยและเทศเอี่ยวระเบิด 2 จุด ระบุใช้เงินเยียวยาผู้บาดเจ็บและญาติผูเเสียชีวิตแล้ว 10.7 ล้านบาท ขอประชาชนและผู้ประกอบการร่วมต้อนรับให้บริการนักเที่ยวอย่างดีที่สุด
วันนี้ (7 ก.ย.) พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าศูนย์ติดตามสถานการณ์ คสช.ได้สรุปการติดตามสืบสวนคดีมีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมากองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย ได้ส่งตัวนายอาเดม คาราดัก ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ที่พูลอนันต์อพาร์ทเมนต์ เขตหนองจอก ให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป โดยศาลจังหวัดมีนบุรีได้อนุมัติให้ฝากขังนายอาเดม ผลัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ในส่วนของนายยูซูฟูซึ่งถูกจับกุมตัวได้ที่จังหวัดสระแก้ว เมื่อครบกำหนดกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยจะได้มีการส่งมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขยายผลการสอบสวนในการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
การสอบสวนนายอาเดม และนายยูซูฟู รวมทั้งพยานบุคคลอื่นๆ อีกหลายราย เริ่มให้การที่เป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยงไปสู่เครือข่ายกลุ่มบุคคลทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร ผลการสืบสวนดังกล่าวสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แถลงรายละเอียดบางส่วนให้รับทราบตามความจำเป็นต่อไป
สำหรับการปฏิบัติงานของกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยในการรักษาความปลอดภัยและดูแลนักท่องเที่ยว พบว่า สถานการณ์โดยทั่วไปกลับสู่สภาวะปกติ ทั้งในกรุงเทพมหานคร และสถานที่ท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ยังเดินทางมาท่องเที่ยวตามแผนการเดินทางที่ได้จองไว้ล่วงหน้า ส่วนการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจนถึงปัจจุบัน รวมการจ่ายเงินช่วยเหลือจากส่วนราชการ มูลนิธิ และองค์กรต่างๆ ให้แก่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและครอบครัวผู้เสียชีวิตไปแล้วทั้งสิ้นจำนวน 10,780,000 บาท ทั้งนี้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลต่างๆ 11 แห่ง รวม 23 คน
ทั้งนี้ ผลจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐและความร่วมมือของพี่น้องประชาชนทุกภาคส่วน ส่งผลให้สถานการณ์คลี่คลายและกลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็วการสืบสวนสอบสวนในทางคดีมีความคืบหน้าไปอย่างมาก อย่างไรก็ดี ในห้วงต่อไปจะเข้าสู่ฤดูการท่องเที่ยว (High Season) จึงขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการในการให้การต้อนรับ การให้บริการ และการดูแลนักท่องเที่ยวให้ดีที่สุดเช่นที่เคยปฏิบัติมา เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่มีเสน่ห์และน่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยว