xs
xsm
sm
md
lg

MBKET คาดช่วงที่เหลือปี 58 หุ้นไทยดีขึ้น เชื่อปีหน้าแตะ 1,650 จุด ฟันธงเฟดยังไม่ขึ้น ดบ.ในปีนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ซีอีโอ MBKET คาดทิศทางตลาดฯ และวอลุ่มเทรดของ SET ช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นจากความคาดหวังของ ครม.ชุดใหม่ โดยเฉพาะการอัดฉีดเม็ดเงินใส่ระบบเพื่อกระตุ้น ศก.ผ่านโครงสร้างในชนบท ซึ่งจะสะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนให้ดีขึ้น พร้อมประเมินดัชนีฯ ในปี 59 แตะที่ระดับ 1,650 จุด ส่วนผลกำไรของบริษัทในปีนี้คาดว่าน่าจะใกล้เคียงปีก่อนที่ระดับ 1.26 พันล้าน และมีมาร์เกตแชร์ 9-10% พร้อมฟันธง เฟด ยังไม่ขึ้น ดบ. ในปีนี้

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้คาดกำไรสุทธิของปีนี้ น่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่อยู่ระดับ 1.26 พันล้านบาท โดยคาดหวังช่วงที่เหลือของปีนี้ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะกลับมาดีขึ้น จากครึ่งปีแรกเฉลี่ยอยู่ที่ราว 42,000-45,000 ล้านบาท ขณะที่ประเมินทั้งปีน่าจะมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 45,000 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าจะมีส่วนแบ่งนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (มาร์เกตแชร์) ปีนี้ราว 9-10% จากครึ่งปีแรกอยู่ที่ 9.22%

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังมีงานที่ปรึกษาทางการเงินรวม 17-25 ดีล แบ่งเป็นงานเสนอขายหุ้นให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 1-2 บริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) และอีก 3-5 บริษัทที่จะเป็นงาน IPO ในปี 59 มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท งาน M&A จำนวน 2-3 ดีล งานที่ปรึกษาในการจัดตั้งกอง REIT 2-3 ดีล และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน 3-4 ดีล รวมถึงงานที่ปรึกษาในการเสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (PP) 2-3 ดีล

ทั้งนี้ มองทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีน่าจะมีความหวังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย ด้วยการเข้ามาสนับสนุนนโยบายการปล่อยเงินกู้ผ่านกองทุนหมู่บ้าน วงเงินราว 6 หมื่นล้านบาท และมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายสู่ระดับตำบลกว่า 7 พันตำบล คิดเป็นวงเงินราว 3.6 หมื่นล้านบาท โดยมาตรการดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อเงินที่จะเข้าสู่ระบบมากขึ้น และน่าจะสะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ดีมากขึ้น

นายมนตรี คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยปีนี้น่าจะอยู่ในระดับ 1,450 จุด และปีหน้ามีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 1,650 จุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยของเศรษฐกิจโลก และตลาดหุ้นทั่วโลกด้วย

อย่างไรก็ตาม มองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ไม่น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เนื่องจากหากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยก็จะส่งผลต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นทั้งสหรัฐฯ และยุโรป รวมถึงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีนที่น่าจะไม่สามารถเติบโตได้มากนัก ประกอบกับเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งธนาคารกลางยุโรปยังจะคงดำเนินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE) อย่างต่อเนื่อง และยืนยันที่จะซื้อสินทรัพย์ในตลาดเป็นวงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน จนถึงเดือน ก.ย.59
กำลังโหลดความคิดเห็น