หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) แข็งแกร่ง ครองแชมป์โบรกเกอร์อันดับ 1 ยาวนานต่อเนื่อง 13 ปีซ้อน เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และมั่นคง พร้อมเดินหน้าให้บริการทางด้านการลงทุน และหลักทรัพย์ที่หลากหลาย ครอบคลุม 2 ธุรกิจหลัก ทั้งธุรกิจการซื้อขายหลักทรัพย์ และวาณิชธนกิจ รอบ 6 เดือนแรกของปี 58 ยังฟอร์มดีทำรายได้รวม 2,173 ล้านบาท กำไรรวม 596 ล้านบาท หรือกำไรเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 80 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET เปิดเผยว่า เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 15 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2558 น่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2558 บริษัทฯ สามารถทำรายได้อยู่ที่ 2,173 ล้านบาท แบ่งได้จาก 2 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ส่วนงานด้านธุรกิจหลักทรัพย์ ทำรายได้ 2,047 ล้านบาท และส่วนงานด้านวาณิชธนกิจ ทำรายได้ไป 126 ล้านบาท มีกำไรเบ็ดเสร็จรวม 596.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 264.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 79.60 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 332.07 ล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งถือได้ว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก
ด้าน นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับรายได้จากค่านายหน้าที่เพิ่มขึ้น 323.74 ล้านบาท จาก 1,133.58 ล้านบาท เป็น 1,457.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.56 เกิดจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจาก 6,328 ล้านบาท เป็น 8,019 ล้านบาท อันเป็นผลพวงจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันโดยรวมของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก 31,967 ล้านบาท เป็น 43,488 ล้านบาท ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 7.70 ล้านบาท จาก 90.26 ล้านบาท เป็น 82.56 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 8.53 นอกจากนี้ รายได้จากค่าธรรมเนียม และบริการเพิ่มขึ้น 53.39 ล้านบาท จาก 74.63 ล้านบาท เป็น 128.02 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 71.54 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมจากการรับประกันการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 58.60 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมจากการยืม/ให้ยืมหลักทรัพย์ลดลง 10.78 ล้านบาท จึงส่งผลให้การทำรายได้ และกำไรของบริษัทฯ เติบโตขึ้นตามลำดับ
“หากเปรียบเทียบผลการดำเนินงานเป็นรายไตรมาส ในไตรมาสที่ 2 ของปี 58 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 231.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 215.93 ล้านบาท นอกจากนี้ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2558 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการเดือนมกราคม 2558 ถึงมิถุนายน 2558 ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีชื่ออยู่ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2557 ในอัตรา 1.00 บาทต่อหุ้น โดยมีกำหนดจ่ายในวันที่ 9 กันยายน 2558 อีกด้วย” นายมนตรี กล่าวทิ้งท้าย