ประธานบอร์ด ASP เผยแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงย่ำแย่ต่อเนื่อง กดดันภาพรวมตลาด ส่วนหนึ่งเพราะภาคการส่งออกหดตัว และการพึ่งพาภาคพลังงานเป็นหลัก อีกทั้งพิษเทียร์ 3 หั่นความเชื่อมั่นประเทศไทยในสายตาชาวโลก
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ ASP กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังคงอยู่ในช่วงของทิศทางขาลง ซึ่งยังคงสร้างแรงกดดันจากต่อภาพรวมตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกมากว่า 70% อีกทั้งปัจจัยการลงทุนหลักๆ ในประเทศยังได้รับผลกระทบมาจากหุ้นพลังงานซึ่งยังอยู่ในแดนลบ และแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
“แนวโน้มทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในทิศทางขาลง ส่วนหนึ่งจากปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ การเกิดวิกฤตในตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงไปกว่า 20% ในช่วงเวลาไม่กี่วัน ทำให้ส่งผลต่อความกังวลในตลาดทุนทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้นนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาปรับตัวลดลงไปประมาณ 5% เท่านั้นยังไม่เข้าสู่สภาวะซบเซา ซึ่งจะต้องติดลบอย่างน้อย 20%”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนจะต้องเฝ้าจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนซึ่งส่งผลต่อการวางแผนการการลงทุนในอนาคต โดยนักวิเคราะห์จากหลายสำนักได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2558 จะออกมาต่ำกว่าที่ประเมินไว้ และส่งผลต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 3 และ 4 ซึ่งถ้าหากมีสถานการณ์ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในประเทศก็อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และการลงทุนเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมาอีกด้วย ขณะเดียวกัน ปริมาณการส่งออกของสินค้าไทยไปยังต่างประเทศที่ลดลง และการประกาศสรุปผลการประเมินการค้ามนุษย์ในประเทศไทยโดยประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประกาศออกมานั้น ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ในอันดับเทียร์ 3 ทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศคู่ค้าที่สั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทย
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ หรือ ASP กล่าวว่า แนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ยังคงอยู่ในช่วงของทิศทางขาลง ซึ่งยังคงสร้างแรงกดดันจากต่อภาพรวมตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออกมากว่า 70% อีกทั้งปัจจัยการลงทุนหลักๆ ในประเทศยังได้รับผลกระทบมาจากหุ้นพลังงานซึ่งยังอยู่ในแดนลบ และแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาสที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
“แนวโน้มทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในทิศทางขาลง ส่วนหนึ่งจากปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ การเกิดวิกฤตในตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลงไปกว่า 20% ในช่วงเวลาไม่กี่วัน ทำให้ส่งผลต่อความกังวลในตลาดทุนทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน ขณะที่ตลาดหุ้นไทยนั้นนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาปรับตัวลดลงไปประมาณ 5% เท่านั้นยังไม่เข้าสู่สภาวะซบเซา ซึ่งจะต้องติดลบอย่างน้อย 20%”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักลงทุนจะต้องเฝ้าจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนซึ่งส่งผลต่อการวางแผนการการลงทุนในอนาคต โดยนักวิเคราะห์จากหลายสำนักได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2558 จะออกมาต่ำกว่าที่ประเมินไว้ และส่งผลต่อเนื่องไปยังไตรมาสที่ 3 และ 4 ซึ่งถ้าหากมีสถานการณ์ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในประเทศก็อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ และการลงทุนเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2557 ที่ผ่านมาอีกด้วย ขณะเดียวกัน ปริมาณการส่งออกของสินค้าไทยไปยังต่างประเทศที่ลดลง และการประกาศสรุปผลการประเมินการค้ามนุษย์ในประเทศไทยโดยประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประกาศออกมานั้น ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ในอันดับเทียร์ 3 ทำให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประเทศคู่ค้าที่สั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทย
