บล.เคที ซีมิโก้ คาดว่าดัชนีหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้จะเป็นขาลง เป็นผลจาก ศก.ในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดว่าจีดีพีจะเติบโตได้ไม่เกิน 3% ขณะที่ นลท.ส่วนใหญ่ยังรอความชัดเจนการปรับ ดบ.ของเฟด ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.ย.นี้ หากปรับขึ้นจริงก็จะทำให้หุ้นไทยผันผวนไปอีก 2 เดือน
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคที ซีมิโก้ คาดว่า ดัชนีหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้จะเป็นขาลง เป็นผลจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังไม่ฟื้นตัว โดยคาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้จะเติบโตได้ไม่เกิน 3% ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยังรอความชัดเจนการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.ย. หากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยจริงจะส่งผลต่อตลาดหุ้นไทยที่มีโอกาสปรับตัวลงต่อไปอีกในระยะสั้นหรือประมาณ 2 เดือน โดยประเมินดัชนีช่วงสั้นจะอยู่ที่ระดับ 1,400-1,420 จุด ขณะที่ทั้งปีมองดัชนีจะอยู่ที่ระดับ 1,480 จุด บนสมมติฐานกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เติบโตได้ 15%
“เรามองว่าการเข้าซื้อหุ้นในขณะนี้ยังไม่ใช่จังหวะ อาจจะไม่ดีนัก มองเป็นการทยอยซื้อ และรอจังหวะเข้าซื้อเก็บจะดีกว่า จากภาวะตลาดที่ยังเป็นลักษณะขาลง โดยมองดัชนีปีนี้จะอยู่ที่ 1,480 จุด และ EPS Growth เติบโต 15% ซึ่งตลาดยังรอการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเข้ามาผลักดันให้ตลาดปรับขึ้นไปได้ แนะนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นหลังมั่นใจเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจริง” นายเจริญ กล่าวภายในงาน “ปรับยุทธศาสตร์การลงทุน ให้คุณรู้สึกทั่วถึง เข้าถึงเป้าหมาย” กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเคที ซีมิโก้ ในหัวข้อ “จับกระแสตลาดหุ้นครึ่งปีหลัง ส่องหุ้นดี กำไรเด่น”
นายเจริญ กล่าวว่า ตลาดยังรอการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะเรื่องของการเมืองในประเทศ ซึ่งจะเรียกความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ ภาคเอกชน และประชาชนกลับคืนมา ซึ่งคาดว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจริง จะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นทางเทคนิค หรือปรับขึ้นไป 30-40 จุด อีกทั้งครึ่งปีหลังนี้ก็จะเริ่มเห็นการออกทิกเกอร์ฟันด์กองใหม่ LTF RMF มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเข้าลงทุนในจังหวะที่ตลาดปรับตัวลง และรอการขึ้นต่อ รวมถึงยังเชื่อว่าในไตรมาส 4/58 จะเป็นช่วงไฮซีซันของหลายธุรกิจ ที่จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กลับมาดีได้อีกครั้งหนึ่ง
สำหรับการลงทุนในหุ้นรายตัวช่วงครึ่งปีหลัง บล.เคที ซีมิโก้ มองการลงทุนใน 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มพลังงานหรือปิโตรเคมี อย่างหุ้นบ มจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTCG) บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) เนื่องจากไม่มีความเสี่ยงในเรื่องของราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่วนหุ้นที่มองว่ายังไม่น่าลงทุน คือ บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) กับ บมจ.ปตท. (PTT) จากราคาน้ำมันที่ลดลง หลังอิหร่านสามารถบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับชาติมหาอำนาจได้ ทำให้สามารถผลิต และส่งออกน้ำมันได้ โดยอิหร่านยังมีน้ำมันที่รอขายอยู่ราว 20 ล้านบาร์เรล คาดว่าราคาน้ำมันดิบ ณ สิ้นปี 58 จะเฉลี่ยอยู่ที่ 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ขณะที่ยังมองหุ้นกลุ่มสื่อสาร โดยตัวเด่นจะเป็น บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) ซึ่งมีผลประกอบการดีกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มสื่อสารด้วยกัน และยังมีการจ่ายเงินปันผลที่สูง น่าจะเหมาะต่อการซื้อเพื่อรับปันผล รองลงมามอง บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ขณะที่ บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ยังไม่น่าลงทุน
พร้อมกันนี้ ยังแนะนำหุ้นกลุ่มรับเหมา-ก่อสร้าง เช่น บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินธุรกิจแบบ Sub-Contract โดยคาดหวังว่าครึ่งปีหลังนี้ภาครัฐจะเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อลงทุนในโครงการใหญ่ๆเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตาม แม้ภาครัฐจะไม่สามารถเบิกจ่ายงบลงทุนได้ตามที่คาดไว้ ก็อาจจะส่งผลให้เกิดการเลื่อนออกไปสักระยะ เชื่อว่าการลงทุนของภาครัฐจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน จึงมองว่าเป็นจังหวะที่เข้าซื้อไว้ก่อน
นายเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนในหุ้นกลุ่มอื่น เช่น ธนาคารพาณิชย์ สำหรับผู้ที่ถืออยู่ในช่วงนี้ยังไม่เหมาะต่อการขายต้องรอจังหวะที่เหมาะสมเมื่อเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ถ้าจะลงทุนควรลงทุนในหุ้นที่เป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้า หุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ มอง บมจ.เอสวีไอ (SVI) มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้น จากไตรมาส 4/58 จะเป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ ขณะที่หุ้นอื่นๆ ในกลุ่มดังกล่าวมีราคาปรับขึ้นมาสูงแล้ว