ตลาดหลักทรัพย์ mai ร่วมกับสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เล็งนำผู้ประกอบการ และธุรกิจใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต รวมถึงกิจการเพื่อสังคมได้ใช้ประโยชน์จากการระดมทุนผ่านตลาดทุนเพื่อขยายโอกาสในการทำธุรกิจ ด้าน ก.ล.ต. เล็งออกเกณฑ์ PP ในเดือนสิงหาคมนี้
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai สรุปภาพรวมพัฒนาการ และความก้าวหน้าของตลาด mai ในรอบ 16 ปีที่ผ่านมาว่า ปัจจุบันมีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) รวม 400,000 ล้านบาท และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 4,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่า จากช่วง 5 ปีก่อนหน้า และมีบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่เคยเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ได้เจริญเติบโตจนย้ายเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว 19 ราย ซึ่งทั้งหมดนั้นมีมูลค่าตลาดทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาท และในปีนี้จนถึงปัจจุบันยังมีบริษัทขนาดกลาง และขนาดย่อมได้เข้าจดทะเบียนในตลาด mai เพิ่มเติมอีก 10 ราย
สำหรับมูลค่าการระดมทุนรวมของ บจ.ในตลาด mai มีมูลค่าทั้งสิ้น 68,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการเข้าระดมทุนโดยการออกหุ้น IPO ของ บจ. ที่เข้าใหม่ 31,737 ล้านบาท และเป็นการระดมทุนเพิ่มทุนหลังเข้าการจดทะเบียนแล้ว 36,503 ล้านบาท ผ่านการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ รวม 262 เครื่องมือ
นายประพันธฺ ย้ำว่า การระดมทุนในตลาด mai ไม่ถือเป็นคู่แข่งกับธุรกิจการสินเชื่อของธนาคาร แต่เป็นการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยผู้จัดการตลาด mai ชี้ให้เห็นถึงสัดส่วนตัวเลขการระดมทุนของ บจ. โดยการขายหุ้นผ่านตลาด mai ทั้งสิ้น 80,000 ล้านบาท และการขอสินเชื่อจากธนาคาร 50,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว
ด้าน นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวว่า การสร้างธรรมนูญการทำธุรกิจของครอบครัวจะถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือ SME ประสบความสำเร็จ และมีมุมมองในเชิงกลยุทธ์การทำธุรกิจ ซึ่งการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ก็จะเป็นการเปิดทางให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้
“SME จะปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สามารถส่งต่อกิจการจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งได้นั้น ถือเป็นประเด็นที่สำคัญ เนื่องจากจำนวนธุรกิจกลุ่มนี้ทั้งมีลักษณะเป็น บจ. และเป็นธุรกิจของครอบครัวนั้นมีรวมกันประมาณ 2-3 ล้านราย โดยในจำนวนรวมนี้จะมีการจดทะเบียนเพื่อทำธุรกิจกับกระทรวงพาณิชย์ประมาณ 1 ล้านรายเศษ” นายวีระศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต.จะเริ่มบังคับออกเกณฑ์เพื่อบังคับใช้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ขายหุ้นให้แก่นักลงทุนแบบจำเพาะเจาะจง หรือ PP ในราคาที่ต่ำกว่าราคาซื้อขายหุ้นในตลาดของบริษัทจดทะเบียน หรือ บจ. อย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม ปัจจุบัน การพิจารณาเงื่อนไขการออกประกาศหลักเกณฑ์ดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการรับหลักการ
“ก.ล.ต.จะกำหนดให้บริษัทต้องส่งเนื้อหาในจดหมายแจ้งนักลงทุนถึงการขายหุ้นแบบ PP ต่อ ก.ล.ต. ก่อน เพื่อพิจารณาถึงว่าเหตุผลที่ต้องมีการขายหุ้นตามวิธีการดังกล่าวนั่นจะส่งผลประโยชน์ต่อตัว บจ. อย่างไร อีกทั้งต้องมีข้อมูลที่เพียงพอเพื่อระบุถึงผลประโยชน์ที่นักลงทุนรายย่อยซึ่งถือหุ้นในกิจการนั้นจะได้รับหาก ก.ล.ต. ยังเห็นว่าการให้ข้อมูลต่อผู้ถือหุ้นยังไม่เพียงพอ ก.ล.ต. อาจจะขอให้ บจ. ทำการชี้แจง หรือระบุข้อมูลเพิ่มเติมใหม่จนกว่า ก.ล.ต. จะพิจารณาว่าข้อมูลที่ บจ. ชี่แจงนั้นถือว่าสมเหตุสมผลจึงจะอนุญาตให้บริษัททำการส่งจดหมายแจ้งการขายหุ้น PP ของบริษัทต่อนักลงทุนเป็นลำดับต่อไปได้” นายรพี กล่าว
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai สรุปภาพรวมพัฒนาการ และความก้าวหน้าของตลาด mai ในรอบ 16 ปีที่ผ่านมาว่า ปัจจุบันมีขนาดมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) รวม 400,000 ล้านบาท และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันประมาณ 4,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10 เท่า จากช่วง 5 ปีก่อนหน้า และมีบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่เคยเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ได้เจริญเติบโตจนย้ายเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว 19 ราย ซึ่งทั้งหมดนั้นมีมูลค่าตลาดทั้งสิ้น 130,000 ล้านบาท และในปีนี้จนถึงปัจจุบันยังมีบริษัทขนาดกลาง และขนาดย่อมได้เข้าจดทะเบียนในตลาด mai เพิ่มเติมอีก 10 ราย
สำหรับมูลค่าการระดมทุนรวมของ บจ.ในตลาด mai มีมูลค่าทั้งสิ้น 68,000 ล้านบาท แบ่งเป็นการเข้าระดมทุนโดยการออกหุ้น IPO ของ บจ. ที่เข้าใหม่ 31,737 ล้านบาท และเป็นการระดมทุนเพิ่มทุนหลังเข้าการจดทะเบียนแล้ว 36,503 ล้านบาท ผ่านการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ รวม 262 เครื่องมือ
นายประพันธฺ ย้ำว่า การระดมทุนในตลาด mai ไม่ถือเป็นคู่แข่งกับธุรกิจการสินเชื่อของธนาคาร แต่เป็นการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน โดยผู้จัดการตลาด mai ชี้ให้เห็นถึงสัดส่วนตัวเลขการระดมทุนของ บจ. โดยการขายหุ้นผ่านตลาด mai ทั้งสิ้น 80,000 ล้านบาท และการขอสินเชื่อจากธนาคาร 50,000 ล้านบาทในปีที่แล้ว
ด้าน นายวีระศักดิ์ สุตัณฑวิบูลย์ รองผู้จัดการธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL กล่าวว่า การสร้างธรรมนูญการทำธุรกิจของครอบครัวจะถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม หรือ SME ประสบความสำเร็จ และมีมุมมองในเชิงกลยุทธ์การทำธุรกิจ ซึ่งการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ก็จะเป็นการเปิดทางให้ผู้ประกอบการได้เรียนรู้
“SME จะปรับตัวอย่างไรเพื่อให้สามารถส่งต่อกิจการจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งได้นั้น ถือเป็นประเด็นที่สำคัญ เนื่องจากจำนวนธุรกิจกลุ่มนี้ทั้งมีลักษณะเป็น บจ. และเป็นธุรกิจของครอบครัวนั้นมีรวมกันประมาณ 2-3 ล้านราย โดยในจำนวนรวมนี้จะมีการจดทะเบียนเพื่อทำธุรกิจกับกระทรวงพาณิชย์ประมาณ 1 ล้านรายเศษ” นายวีระศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ นายรพี สุจริตกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต.จะเริ่มบังคับออกเกณฑ์เพื่อบังคับใช้กับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ขายหุ้นให้แก่นักลงทุนแบบจำเพาะเจาะจง หรือ PP ในราคาที่ต่ำกว่าราคาซื้อขายหุ้นในตลาดของบริษัทจดทะเบียน หรือ บจ. อย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคม ปัจจุบัน การพิจารณาเงื่อนไขการออกประกาศหลักเกณฑ์ดังกล่าวยังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการรับหลักการ
“ก.ล.ต.จะกำหนดให้บริษัทต้องส่งเนื้อหาในจดหมายแจ้งนักลงทุนถึงการขายหุ้นแบบ PP ต่อ ก.ล.ต. ก่อน เพื่อพิจารณาถึงว่าเหตุผลที่ต้องมีการขายหุ้นตามวิธีการดังกล่าวนั่นจะส่งผลประโยชน์ต่อตัว บจ. อย่างไร อีกทั้งต้องมีข้อมูลที่เพียงพอเพื่อระบุถึงผลประโยชน์ที่นักลงทุนรายย่อยซึ่งถือหุ้นในกิจการนั้นจะได้รับหาก ก.ล.ต. ยังเห็นว่าการให้ข้อมูลต่อผู้ถือหุ้นยังไม่เพียงพอ ก.ล.ต. อาจจะขอให้ บจ. ทำการชี้แจง หรือระบุข้อมูลเพิ่มเติมใหม่จนกว่า ก.ล.ต. จะพิจารณาว่าข้อมูลที่ บจ. ชี่แจงนั้นถือว่าสมเหตุสมผลจึงจะอนุญาตให้บริษัททำการส่งจดหมายแจ้งการขายหุ้น PP ของบริษัทต่อนักลงทุนเป็นลำดับต่อไปได้” นายรพี กล่าว
