xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยบวก 10 จุด รับอานิสงส์ราคาน้ำมันขยับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ตลาดหุ้นไทยบวกต่อเนื่องอีก 10.77 จุด ปิดที่ 1,514.81 จุด มูลค่าการซื้อขายคึกคักกว่า 5 หมื่นล้านบาท รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันขยับหนุนแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่ บล.กสิกรไทย คาดปลายปีดัชนีมีโอกาสแตะ 1,600 จุด จากเศรษฐกิจฟื้นตัว และอัตราเงินเฟ้อต่ำ

บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย วันนี้ (11 มิ.ย.) ดัชนียังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยมีแรงหนุนจากแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มพลังงานที่ได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันที่ขยับเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเจรจาปัญหาหนี้กรีซน่าจะมีความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ และคงสถานะในยูโรโซนต่อไป ซึ่งส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และตลาดหุ้นไทยด้วย

โดยดัชนีปรับตัวแตะระดับสูงสุด 1,518.34 จุด ต่ำสุด 1,510.74 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 1,514.81 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 10.77 จุด หรือคิดเป็น 0.72% มูลค่าการซื้อขายกว่า 50,489.01 ล้านบาท

ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิต่อเนื่อง 2,325.93 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 2,918.18 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ซื้อสุทธิ 2,040.04 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อย ขายสุทธิ 2,632.28 ล้านบาท ทำให้นักลงทุนต่างประเทศมียอดขายสะสมรวม 8,950.48 ล้านบาท

สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก PTT ราคาปิด 343 บาท ลดลง 1 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,976.16 ล้านบาท TPIPL ราคาปิด 2.96 บาท เพิ่มขึ้น 0.14 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,651.87 ล้านบาท และ TASCO ราคาปิด 17.70 บาท ลดลง 1.70 บาท มูลค่าซื้อขาย 1,526.54 ล้านบาท

นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายไตรมาส 3 จนถึงปลายปีนี้ ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ 1,600 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ภาวะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามการลงทุนของภาครัฐที่เริ่มเห็นผลชัดเจน

สำหรับภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ยังมีแนวโน้มเป็นบวก แม้ช่วง 1-2 เดือนจากนี้จะมีปัจจัยกดดันระยะสั้นอยู่บ้าง เช่น กรณีที่สหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในช่วงไตรมาส 2/58 มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์จากปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

“ช่วง 1-2 เดือนนี้ ดัชนีจะปรับตัวในช่วงแคบๆ ระหว่าง 1,480-1,530 จุด จนกว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า ทำให้นักลงทุนไม่กล้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และต้นทุนในการกู้เงินเพิ่มขึ้น ประกอบกับผลกำไรบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1 ออกมาแย่กว่าที่คาด ซึ่งยังเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้น”

สำหรับหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุนในช่วงนี้ คือ หุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน รับเหมาก่อสร้าง กลุ่มท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มที่ต้องหลีกเลี่ยง คือ อสังหาริมทรัพย์ และค้าปลีกที่ยังชะลอตัว ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลยังไม่น่าลงทุนเนื่องจากราคาสูง สำหรับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 คาดว่าจะยังชะลอตัวต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ผ่านมา โดยกลุ่มที่ยังชะลอตัวมาก คือ กลุ่มธนาคาร ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง
กำลังโหลดความคิดเห็น