ผู้จัดการตลาดหุ้นไทย เผยยังคงเป้าระดมทุนตลาดหุ้นไทยปีนี้ไว้ที่ 2 แสนล้าน โดยปัจจุบันทำได้แล้วกว่า 148,000 ล้านบาท คาดครึ่งปีหลังบริษัทจะทยอยเข้าจดทะเบียนเพิ่มมากขึ้นไม่น้อยกว่า 130,000 ล้านบาท ส่วนปัญหานักลงทุนกังวลค่า Forward P/E ไทยในระดับ 15 เท่านั้นยังถือว่าไม่แพง เนื่องจากปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 50,000 ล้านบาท
นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดเป้าหมายหุ้นสามัญที่จะจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไป หรือ IPO ในปีนี้ ไว้ที่ประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 148,000 ล้านบาท โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมีบริษัทจดทะเบียนใหม่ที่จะทยอยเข้าระดมทุนซื้อขายหุ้น IPO ในตลาดหุ้น ทั้ง SET และ mai อีกไม่น้อยกว่า 130,000 ล้านบาท
“ในส่วนของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ประมาณ 50,000 ล้านบาท/วัน ซึ่งถือได้ว่ามีมูลค่าปริมาณการซื้อขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในตลาดหุ้นอาเซียน ส่วนความกังวลว่าค่า Forward P/E ของตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 15 เท่า ซึ่งอยู่ในอัตราที่สูง และแพงนั้น หากเทียบกับตลาดหุ้นอาเซียนยังถือว่าไม่แพงมาก เนื่องจากมีมูลค่าการระดมทุนในตลาดที่สูง และปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่อยู่ในปริมาณมาก”
อย่างไรก็ตาม ส่วนเป้าบัญชีหลักทรัพย์ของนักลงทุนรายใหม่ในปีนี้ ตลท.ตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 95,000 บัญชี (บัญชีผู้ซื้อขายหลักทรัพย์รายใหม่ไม่ซ้ำรายเดิม) ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจาก ตลท.ได้ร่วมกับโบรกฯ และบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ได้ไปโรดโชว์ยังต่างจังหวัด เพื่อให้ความรู้ และเพิ่มโอกาสแก่นักลงทุนรายใหม่ได้เพิ่มมากขึ้นนอกเหนือจากที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ตลท.จะเน้นย้ำแผนการพัฒนาการลงทุนอย่างยั่งยืน ซึ่งพยายามจะขยายความรู้ไปยังบริษัทจดทะเบียน และนักลงทุน เพื่อมุ่งเน้นการสร้างเสถียรภาพให้ตลาดทุนโดยส่งเสริมให้ผู้ลงทุนตระหนักถึงการลงทุนระยะยาวในรูปแบบการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ (responsible investment) ควบคู่ไปด้วย โดยส่งเสริมให้ผู้ลงทุนพิจารณาข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุนด้วย
ในส่วนของการปรับเปลี่ยนการพูดคุยกับ ก.ล.ต.ที่จากเดิมจะมีการประชุมร่วมไตรมาสละ 1 ครั้ง เปลี่ยนเป็นเดือนละ 1 ครั้งนั้น ทาง ตลท. ไม่มีความขัดข้อง เพราะมองว่าหากมีปัญหาเร่งด่วนอะไรที่เกิดขึ้นก็สามารถดำเนินการร่วมกันได้อย่างทันที โดยไม่ต้องรอครบวาระเหมือนกรณีที่เคยเกิดปัญหาหุ้นร้อนแรง และมีการสร้างราคา และปริมาณการขายที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นในอดีต
