บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารกว้างไพศาล จำกัด (มหาชน) หรือ POMPUI ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติกำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 14 ก.ค.นี้ โดยกำหนดวาระการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ การรายงานเพื่อพิจารณาให้สัตยาบันเรื่องการลงนามในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับ KTB จากเดิมที่บริษัทได้ลงนามในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับ KTB ฉบับวันที่ 22 ธ.ค.49 บันทึกต่อท้ายสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ครั้งที่ 1-6 นั้น บัดนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำบันทึกเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ครั้งที่ 7 ฉบับลงวันที่ 21 พ.ค.58
โดยสาระสำคัญ คือ เงินต้นที่เหลือทั้งหมดประมาณ 488 ล้านบาท ให้ผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 7 ปี เงินต้นที่เหลือประมาณ 129 ล้านบาท ชำระให้เสร็จสิ้นภายในปีที่ 7 ดอกเบี้ยค้างชำระเดิมและเบี้ยปรับผิดนัดประมาณ 369,230,000 บาท ให้ดำเนินการแปลงดอกเบี้ยค้างชำระ 310,725,000 บาท เป็นหุ้นสามัญ ราคาหุ้นละ 25 บาท คิดเป็นจำนวนหุ้น 12,429,000 หุ้น และดอกเบี้ยค้างชำระที่เหลือ 58,505,000 บาท ให้ชำระในปีที่ 8
สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ครั้งนี้ KTB ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สถาบันการเงินรายเดียวของบริษัท ยินยอมตกลงให้นำดอกเบี้ยค้างชำระเดิม และเบี้ยปรับผิดนัดมาแปลงเป็นหุ้นสามัญ เพื่อทำให้บริษัทมีส่วนทุน เมื่อหักจากส่วนทุนที่ติดลบของบริษัท จำนวน 275 ล้านบาท ณ ไตรมาส 1/58 แล้ว กลับมามีส่วนทุนเป็นบวกประมาณ 35.73 ล้านบาท เข้าเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะขอนำหุ้นกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดทุนได้
นอกจากนี้ การประชุมผู้ถือหุ้นยังจะเสนอให้พิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนเดิมที่ยังไม่ชำระ จำนวน 13,380,001 หุ้น พร้อมกันนี้ เห็นชอบอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 12,429,043 หุ้น เพื่อรองรับการแปลงหนี้เป็นทุนของ KTB
สำหรับประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการเพิ่มทุนนั้น บริษัทจะสามารถยื่นขอออกจากกลุ่ม NPG ของตลาดหลักทรัพย์ฯได้ พร้อมผลประกอบการที่มีกำไร 4 ไตรมาสติดต่อกันได้ทันที และเมื่อบริษัทสามารถนำหุ้นกลับเข้ากระดานซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ แม้จะเป็นเบื้องต้นที่ตลาด mai แต่ทำให้การลงทุนของกลุ่มผู้ถือหุ้นทุกคนกลับมามีมูลค่า สามารถซื่อขายได้ในตลาดทุนต่อไป และหากสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีขึ้นก็สามารถนำบริษัทกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ต่อไป
โดยตามขั้นตอน คาดว่าการขออนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการนำหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่เข้าจดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะประมาณภายในไตรมาส 4/58 หรือแล้วแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาอนุมัติ
ทั้งนี้ POMPUI เป็นบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนระยะที่ 3 อันเนื่องมาจากปัญหาฐานะการเงิน และการดำเนินงานต้องปรับปรุงฐานะการเงินและการดำเนินงานให้พ้นเหตุเพิกถอน
โดยสาระสำคัญ คือ เงินต้นที่เหลือทั้งหมดประมาณ 488 ล้านบาท ให้ผ่อนชำระเป็นรายเดือนให้เสร็จสิ้นภายใน 7 ปี เงินต้นที่เหลือประมาณ 129 ล้านบาท ชำระให้เสร็จสิ้นภายในปีที่ 7 ดอกเบี้ยค้างชำระเดิมและเบี้ยปรับผิดนัดประมาณ 369,230,000 บาท ให้ดำเนินการแปลงดอกเบี้ยค้างชำระ 310,725,000 บาท เป็นหุ้นสามัญ ราคาหุ้นละ 25 บาท คิดเป็นจำนวนหุ้น 12,429,000 หุ้น และดอกเบี้ยค้างชำระที่เหลือ 58,505,000 บาท ให้ชำระในปีที่ 8
สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ครั้งนี้ KTB ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สถาบันการเงินรายเดียวของบริษัท ยินยอมตกลงให้นำดอกเบี้ยค้างชำระเดิม และเบี้ยปรับผิดนัดมาแปลงเป็นหุ้นสามัญ เพื่อทำให้บริษัทมีส่วนทุน เมื่อหักจากส่วนทุนที่ติดลบของบริษัท จำนวน 275 ล้านบาท ณ ไตรมาส 1/58 แล้ว กลับมามีส่วนทุนเป็นบวกประมาณ 35.73 ล้านบาท เข้าเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จะขอนำหุ้นกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดทุนได้
นอกจากนี้ การประชุมผู้ถือหุ้นยังจะเสนอให้พิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนเดิมที่ยังไม่ชำระ จำนวน 13,380,001 หุ้น พร้อมกันนี้ เห็นชอบอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่ จำนวน 12,429,043 หุ้น เพื่อรองรับการแปลงหนี้เป็นทุนของ KTB
สำหรับประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการเพิ่มทุนนั้น บริษัทจะสามารถยื่นขอออกจากกลุ่ม NPG ของตลาดหลักทรัพย์ฯได้ พร้อมผลประกอบการที่มีกำไร 4 ไตรมาสติดต่อกันได้ทันที และเมื่อบริษัทสามารถนำหุ้นกลับเข้ากระดานซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ แม้จะเป็นเบื้องต้นที่ตลาด mai แต่ทำให้การลงทุนของกลุ่มผู้ถือหุ้นทุกคนกลับมามีมูลค่า สามารถซื่อขายได้ในตลาดทุนต่อไป และหากสามารถสร้างผลประกอบการที่ดีขึ้นก็สามารถนำบริษัทกลับเข้าไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ต่อไป
โดยตามขั้นตอน คาดว่าการขออนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการนำหุ้นเพิ่มทุนที่ออกใหม่เข้าจดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะประมาณภายในไตรมาส 4/58 หรือแล้วแต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ พิจารณาอนุมัติ
ทั้งนี้ POMPUI เป็นบริษัทจดทะเบียนที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนระยะที่ 3 อันเนื่องมาจากปัญหาฐานะการเงิน และการดำเนินงานต้องปรับปรุงฐานะการเงินและการดำเนินงานให้พ้นเหตุเพิกถอน