นายไกรลักษณ์ อัศวฉัตรโรจน์ รองกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) คาดว่ารายได้จากการดำเนินงานในไตรมาส 2/58 จะเติบโต 15-20% จากไตรมาส 1/58 ที่มีรายได้อยุ่ที่ 1.54 พันล้านบาท จากแนวโน้มของยอดขายที่ดินที่เพิ่มขึ้น แต่หากรวมรายได้จากการขายสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องต่อธุรกิจหลักมูลค่า 3.02 พันล้านบาท รายได้ของบริษัทจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับไตรมาสแรก
ส่วนยอดขายที่ดินในครึ่งปีแรกคาดว่าจะทำได้ระดับ 650-700 ไร่ จากไตรมาส 1/58 ที่ทำได้ 186 ไร่ เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ 2-3 ราย ทำให้มั่นใจยอดขายที่ดินทั้งปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั่งไว้ 1,400 ไร่ ขณะเดียวกัน บริษัทได้เตรียมการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในช่วงเดือน ก.ค.นี้ หลังจะมีกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องต่อธุรกิจหลัก
สำหรับงบลงทุนปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 2.5-3.0 พันล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะใช้สำหรับการลงทุนธุรกิจพลังงาน ซึ่งบริษัทเพิ่งได้เซ็นสัญญาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า 7 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 220 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถเริ่มทยอยจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป และจะรับรู้กำไรจากขายไฟจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้เต็มปีในช่วงปี 62 ซึ่งจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 538 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 318 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้รับรู้เป็นกำไรพิเศษต่อปีอยู่ที่ 1.4-1.5 พันล้านบาท ขณะที่งบอีกส่วนหนึ่งจะใช้ในการซื้อที่ดิน และการพัฒนาสาธารณูปโภค
ส่วนยอดขายที่ดินในครึ่งปีแรกคาดว่าจะทำได้ระดับ 650-700 ไร่ จากไตรมาส 1/58 ที่ทำได้ 186 ไร่ เนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้ารายใหญ่ 2-3 ราย ทำให้มั่นใจยอดขายที่ดินทั้งปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั่งไว้ 1,400 ไร่ ขณะเดียวกัน บริษัทได้เตรียมการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้แก่ผู้ถือหุ้นในช่วงเดือน ก.ค.นี้ หลังจะมีกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องต่อธุรกิจหลัก
สำหรับงบลงทุนปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 2.5-3.0 พันล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะใช้สำหรับการลงทุนธุรกิจพลังงาน ซึ่งบริษัทเพิ่งได้เซ็นสัญญาลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า 7 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 220 เมกะวัตต์ ซึ่งจะสามารถเริ่มทยอยจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป และจะรับรู้กำไรจากขายไฟจากโรงไฟฟ้าดังกล่าวได้เต็มปีในช่วงปี 62 ซึ่งจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 538 เมกะวัตต์ จากปัจจุบัน 318 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้รับรู้เป็นกำไรพิเศษต่อปีอยู่ที่ 1.4-1.5 พันล้านบาท ขณะที่งบอีกส่วนหนึ่งจะใช้ในการซื้อที่ดิน และการพัฒนาสาธารณูปโภค
