บอร์ด “เสนาดีเวลลอปเม้นท์” สั่งลุยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ เพิ่มแหล่งที่มารายได้ สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าในโครงการ เปิดทางหาพันธมิตรร่วมลงทุน ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้สุดตระการตา กำไรสุทธิกว่า 75.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127.81% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 33.11 ล้านบาท
ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีมติอนุมัติมอบหมายให้คณะกรรมการบริหาร หรือบุคคลอื่นใดที่ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหารทำการศึกษาแนวทางเกี่ยวกับการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น ตลอดจนการหาผู้ร่วมลงทุนในธุรกิจหากมีความจำเป็น รวมทั้งให้มีอำนาจในการเจรจาทำบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น หรือเข้าทำสัญญาใดๆ อันเกี่ยวเนื่องต่อการลงทุนในธุรกิจดังกล่าวตามขอบเขต และวงเงินที่อยู่ในอำนาจของคณะกรรมการบริหาร
“การเข้าไปลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทน เช่น ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นการต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าในโครงการของเสนาฯ โดยในปีนี้บริษัทมีแผนจะขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจ Recurring Income และทำโซลาร์รูฟท็อปในโครงการของบริษัท ซึ่งจะช่วยเพิ่มฐานที่มาของรายได้ และทำให้บริษัทมีการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต” ผศ.ดร.เกษรากล่าว
ขณะเดียวกัน ในปีนี้บริษัทจะเริ่มรับรู้กำไรพิเศษจากการขายไฟฟ้าของโครงการโซลาร์รูฟท็อป 750 กิโลวัตต์ ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ โดยจะมีกำไรพิเศษเข้ามาประมาณ 6 ล้านบาทต่อปี
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกปี 58 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 58 มีรายได้รวม 517.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 141.94 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 37.79% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 375.65 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 75.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.31 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 127.81% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 33.11 ล้านบาท
โดยในปี 58 บริษัทเตรียมเปิด 11 โครงการใหม่ มูลค่า 10,000 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเตรียมขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มที่มีระดับรายได้ประมาณ 100,000 บาท (กลุ่มลูกค้า B+) และมีแผนพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกมากขึ้น ตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท และคาดว่ายอดขายจะอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท โดยเตรียมงบประมาณไว้สำหรับการจัดซื้อที่ดิน จำนวน 1,000 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อที่ดินใหม่ ขณะที่ Backlog ของบริษัทในปัจจุบันอยู่ที่ 1,600 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2559