ศุภาลัย ตั้งเป้าปี 58 กวาดรายได้ 22,000 ล้านบาท ลุยเปิด 28 โครงการใหม่ ชี้อสังหาฯ โตได้ 5-10% น้ำมันลง กดค่าก่อสร้างลง 1-2% ส่วนโครงการต่างประเทศ เริ่มส่งผลเชิงบวกกับแผนการลงทุน ทั้งในประเทศฟิลิปปินส์ ขณะที่ออสเตรเลีย เตรียมขยายโครงการที่ 3-4 อีก ส่วน “หาดใหญ่นครินทร์” วางเป้าเปิด 3 โครงการใหม่ เน้นตลาดแนวราบ มูลค่าเกือบ 2,000 ล้านบาท
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2558 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวม 23,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายรานได้ 22,000 ล้านบาท โดยมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ 28 โครงการ เป็นแนวราบในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัด 19 โครงการ และเป็นคอนโดมิเนียม 9 โครงการ มูลค่ารวม 31,120 ล้านบาท รวมทั้งกำหนดงบประมาณในการจัดซื้อที่ดินเพิ่มเติมประมาณ 6,000 ล้านบาท และงบในการก่อสร้าง 12,000 ล้านบาท
“ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้คาดว่าจะโตประมาณ 5-10% จากภาวะเศรษฐกิจจะโตได้ประมาณ 3% ขณะที่ราคาน้ำมันลดลง จะไม่เห็นเงินเฟ้อสูง และคาดว่าค่าก่อสร้างจะลดลงได้ประมาณ 1-2% ขณะที่ปัญหาแรงงานจะไม่ขาดแคลนเหมือนที่ผ่านมา และดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มลดลง ทำให้ลูกค้ามีกำลังซื้อมากขึ้น แม้จะยังมีปัญหาหนี้สินครัวเรือนอยู่บ้าง แต่ลูกค้าของบริษัทที่ถูกปฏิเสธสินเชื่อมีน้อยลง”
นายไตรเตชะ กล่าวว่า บริษัทยังคงขยายการลงทุนไปยังหัวเมืองต่างๆ ในภูมิภาคที่เป็นศูนย์กลางธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแนวราบ ส่วนอาคารสูงจะมีเฉพาะหัวเมืองท่องเที่ยว ได้แก่ เชียงใหม่ สุราษฎร์ธานี สงขลา ภูเก็ต อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง และอุบลราชธานี
สำหรับปี 2557 บริษัททำยอดขายได้ 20,119 ล้านบาท มาจากอาคารชุด 56% บ้านจัดสรร 44% จากการเปิดตัว 26 โครงการใหม่ เป็นแนวราบ 18 โครงการ อาคารชุด 8 โครงการ มีรายได้รวม 18,671 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 4,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากปี 2556
โครงการต่างประเทศเริ่มให้ผลตอบแทนดี
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการ บริษัท ศุภาลัยฯ กล่าวว่า ในส่วนของนโยบายการลงทุนในต่างประเทศเพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโต และเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เนื่องจากรอบเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไม่เท่ากัน ซึ่งขณะนี้บริษัทได้มีการลงทุนอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ โดยได้ผลตอบแทนจากค่าเช่าค่อนข้างดี 7-8% สูงกว่าประเทศไทย รวมถึงราคาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นแล้วกว่า 10% สำหรับการลงทุนในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งความเสี่ยงสำคัญ คือการขอใบอนุญาตจัดสรร โดยขณะนี้ได้โฉนดแบ่งแปลงที่ดินทั้งหมดแล้วรวม 2 โครงการ มูลค่า 2 พันกว่าล้านบาท ล่าสุดอยู่ระหว่างศึกษาตลาดเพื่อเตรียมขยายโครงการที่ 3-4 อีก โดยบริษัทมองอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) 20%
ปัจจุบัน บริษัทมีการลงทุนในต่างประเทศไปแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยนโยบายการลงทุนต่างประเทศจะไม่เกิน 10% ของมูลค้าสินทรัพย์ หรือลงทุนได้ประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทยังสนใจที่จะลงทุนในพม่า เวียดนาม และศรีลังกา ด้วยโดยมีนายอธิป พีชานนท์ และนายประศาสตร์ ตั้งมติธรรม เป็นผู้ดูแลการลงทุนในต่างประเทศ
“หาดใหญ่นครินทร์” ผุด 3 โครงการใหม่เน้นแนวราบ
นายพีระ หงส์ชยางกูร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บริษัท หาดใหญ่นครินทร์ จำกัด โดยมีบริษัทศุภาลัยฯ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในปีนี้ว่า มีแผนจะเปิด 3 โครงการใหม่ พัฒนาบนพื้นที่กว่า 110 ไร่ มูลค่าโครงการในเบื้องต้นกว่า 1,500-2,000 ล้านบาท โดย 2 โครงการแรกจะพัฒนาในรูปแบบบ้านแนวราบ ที่ ต.บ้านพรุ และ ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ขนาดแต่ละโครงการบนเนื้อที่ 20 กว่าไร่ โครงการละ 100 ยูนิต รวมมูลค่าทั้งสองโครงการ 800 ล้านบาท เน้นทำตลาดระดับกลางถึงล่าง ส่วนโครงการที่ 3 เป็นโครงการขนาดใหญ่พัฒนาบนเนื้อที่ 70 ไร่ เน้นทำตลาดระดับกลางถึงบน ซึ่งจะพัฒนาเป็นเฟสๆ
“ในปีนี้ทางหาดใหญ่นครินทร์ฯ เน้นทำตลาดแนวราบ โดยเราจะพยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นกลุ่มลูกค้า ระดับราคา 3 ล้านต้นๆ จนถึง 4 ล้านบาท เพื่อรองรับกำลังซื้อ โดยในปีนี้วางเป้ายอดขายรวม 900 ล้านบาท และรายได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท ยังไม่นับรวมรายได้จากค่าเช่าและบริการที่คาดว่าจะมีตัวเลขประมาณ 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ตัวเลขรายได้ค่อนข้างปรับตัวดีขึ้น แม้จะไม่สูงเท่ากับที่เคยมีตัวเลขรายได้ 1,500 ล้านบาท เนื่องจากราคายางพาราได้ปรับลงจาก 180 บาทต่อกิโลกรัม ลงมาอย่างรวดเร็วจนอยู่ระดับราคาต่ำกว่า 60 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นผลจากตลาดส่งออกไปยังประเทศจีนลดลง และเศรษฐกิจโลกไม่เอื้ออำนวย”
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจภาคใต้ในปี 58 คาดว่าจะฟื้นตัวดีกว่าปี 57 จากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมีปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง อัตราดอกเบี้ยต่ำซึ่งเอื้ออำนวยการลงทุนและภาครัฐมีนโยบายการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน ที่จังหวัดสงขลาและนราธิวาส การส่งเสริมการท่องเที่ยวและการขยายเส้นทางการบินเพิ่ม การเร่งใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐ การผลักดันให้เกิดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในภาคใต้มากขึ้น