หุ้นเช้าปิดลบ 2.68 จุด ตามตลาดในต่างประเทศ แต่ยังได้เห็นการรีบาวนด์บ้าง ขณะที่ความเสี่ยงตลาดยังมีหลายด้านทั้งใน และนอกประเทศ ชี้แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเข้ามา เป็นการสะท้อนการทำ QE ส่วนหนึ่ง แต่เนื่องจากดาวโจนส์เมื่อคืนที่ผ่านมา ปรับตัวลงไปกว่า 300 จุด ตลาดจึงมีความเสี่ยงรายวันสูง ซึ่งการขยับขึ้นของดัชนีฯ น่าจะมาจาการปรับตัวลงไปลึกมากกว่า
ภาวะตลาดหุ้นวันนี้ (11 มี.ค.) ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,528.36 จุด ลดลง 2.68 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.18% มูลค่าการซื้อขาย 25,710.09 ล้านบาท โดยภาพรวมวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ ดัชนีแตะจุดสูงสุดของช่วงเช้าที่ 1,533.40 จุด และแตะจุดต่ำสุดของช่วงเช้าอยู่ที่ระดับ 1,520.20 จุด
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ยังได้เห็นการรีบาวนด์บ้าง แต่คิดว่าความเสี่ยงของตลาดฯ ยังมีหลายด้าน อย่างเรื่องการทำ QE ของยูโรโซนก็คาดว่า เม็ดเงินจะไหลไปเข้าตลาดในสหรัฐฯ มากกว่า เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หลังจากที่ตัวเลขการว่างงานออกมาดีเกินคาด แต่คงจะเข้าตลาดตราสารหนี้ในสหรัฐฯ ไม่น่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งประเด็นความไม่แน่นอนยังมีอยู่มาก จึงคิดว่าไม่น่าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่จะไปที่ Treasury ของสหรัฐฯ ก่อน
ส่วนตลาดบ้านเรา แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเป็นการสะท้อนการทำ QE ส่วนหนึ่ง แต่เนื่องจากดาวโจนส์เมื่อคืนที่ผ่านมา ปรับตัวลงไปกว่า 300 จุด ตลาดจึงมีความเสี่ยงรายวันสูง ซึ่งการขยับขึ้นของดัชนีฯ น่าจะมาจากการปรับตัวลงไปลึกมากกว่า อย่างไรก็ดี ให้ติดตามทิศทางค่าเงิน และการเจรจาของกรีซที่ยังไม่ชัดเจน
ทั้งนี้ เศรษฐกิจในประเทศขณะนี้มีความไม่ชัดเจนในหลายๆ เรื่อง ทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี และการจะเก็บภาษีที่ดิน ซึ่งจะกระทบมากพอควรต่อหลาย Sector รวมถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน การบริโภคก็แย่
ดังนั้น กระแสเงินน่าจะไหลไปที่สหรัฐฯ มากกว่า เพราะปัจจัยในประเทศยังไม่ดี คงต้องรอให้ปัจจัยที่ยังไม่ชัดเจนคลายตัวก่อน ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในแดนลบตามดาวโจนส์
แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายธนเดช กล่าวว่า ตลาดฯ ยังมีลุ้นรีบาวนด์ได้ในช่วงบ่ายจากที่ดัชนีฯ ได้ลงไปลึก โดยเฉพาะถ้าตลาดยุโรปเปิดในช่วงบ่ายแล้วปรับตัวขึ้นอาจเป็นแรงส่งให้แก่ตลาดหุ้นไทยได้จากแรงเก็งกำไรที่อาจจะเข้ามา พร้อมให้แนวรับ 1,520 จุด ส่วนแนวต้าน 1,540 จุด
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,798.17 ล้านบาท ปิดที่ 13.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท
JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,075.98 ล้านบาท ปิดที่ 6.55 บาท ลดลง 0.15 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 895.88 ล้านบาท ปิดที่ 331.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
LOXLEY มูลค่าการซื้อขาย 798.70 ล้านบาท ปิดที่ 4.66 บาท เพิ่มขึ้น 0.24 บาท
KBANK มูลค่าการซื้อขาย 762.37 ล้านบาท ปิดที่ 226.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท