บอร์ด “พีเออี (ประเทศไทย)” ไฟเขียวให้เข้าซื้อหุ้น พีพีเอส เอนเนอยี แอนด์ มารีน ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำประปา จาก แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค มูลค่ากว่า 82 ล้านบาท มั่นใจเป็นกิจการที่มีศักยภาพจะเติบโตในอนาคตต่อไป และมีอัตราผลตอบแทนที่น่าลงทุน คาดไม่เกิน 2 ปี อัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 20%
นายรัฐชัย ภิชยภูมิ กรรมการบริหาร บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PAE แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ว่า บอร์ดได้มีมติอนุมัติให้ขยายการลงทุนในธุรกิจด้านการผลิตและขายน้ำประปา โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 67.77% ของทุนชำระแล้วในบริษัท พีพีเอส เอนเนอยี แอนด์ มารีน จำกัด หรือ PPS ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำประปาให้แก่ลูกค้า เช่น นิคมอุตสาหกรรมอมตะ และเทศบาลเมืองเชียงใหม่ และซื้อขายน้ำดิบตามสิทธิการใช้น้ำดิบที่ได้รับ ซึ่งซื้อจากบริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) CEN คิดเป็นมูลค่า 82.14 ล้านบาท กำหนดชำระเป็นเงินสดภายในเดือน มี.ค. โดยใช้เงินจากการเพิ่มทุนของบริษัท
โดยบริษัทจะได้ผลประโยชน์ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับ เนื่องจากเป็นกิจการที่มีศักยภาพเติบโตไปในอนาคต และมีอัตราผลตอบแทนที่น่าลงทุน เนื่องจากภายหลังการปรับโครงสร้างการบริหารงาน คาดว่าไม่เกิน 2 ปี จะมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 20% และมีเป้าหมายลงทุนระยะยาว อีกทั้งเป็นการขยายขอบเขตงานในกลุ่มบริษัทให้ครอบคลุมมากขึ้น ขณะที่คณะกรรมการบริษัทเห็นว่า เป็นรายการที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในอนาคต สามารถสร้างรายได้และกำไรให้แก่บริษัทได้ในอนาคต และยังเป็นส่วนช่วยกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจที่มีของบริษัทได้
นายรัฐชัย ภิชยภูมิ กรรมการบริหาร บริษัท พีเออี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PAE แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ว่า บอร์ดได้มีมติอนุมัติให้ขยายการลงทุนในธุรกิจด้านการผลิตและขายน้ำประปา โดยเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 67.77% ของทุนชำระแล้วในบริษัท พีพีเอส เอนเนอยี แอนด์ มารีน จำกัด หรือ PPS ซึ่งดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำประปาให้แก่ลูกค้า เช่น นิคมอุตสาหกรรมอมตะ และเทศบาลเมืองเชียงใหม่ และซื้อขายน้ำดิบตามสิทธิการใช้น้ำดิบที่ได้รับ ซึ่งซื้อจากบริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) CEN คิดเป็นมูลค่า 82.14 ล้านบาท กำหนดชำระเป็นเงินสดภายในเดือน มี.ค. โดยใช้เงินจากการเพิ่มทุนของบริษัท
โดยบริษัทจะได้ผลประโยชน์ที่บริษัทคาดว่าจะได้รับ เนื่องจากเป็นกิจการที่มีศักยภาพเติบโตไปในอนาคต และมีอัตราผลตอบแทนที่น่าลงทุน เนื่องจากภายหลังการปรับโครงสร้างการบริหารงาน คาดว่าไม่เกิน 2 ปี จะมีอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 20% และมีเป้าหมายลงทุนระยะยาว อีกทั้งเป็นการขยายขอบเขตงานในกลุ่มบริษัทให้ครอบคลุมมากขึ้น ขณะที่คณะกรรมการบริษัทเห็นว่า เป็นรายการที่เหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในอนาคต สามารถสร้างรายได้และกำไรให้แก่บริษัทได้ในอนาคต และยังเป็นส่วนช่วยกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจที่มีของบริษัทได้