“เคพีเอ็น กรุ๊ป” สบช่องคอนโดฯ หรู เหลือในตลาดน้อยลุยเปิด The Diplomat สุขุมวิท 39 ขาย ตร.ม.ละ 3 แสนบาท มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ฟุ้งลูกค้าลงชื่อจองกว่า 2 พันราย พร้อมปฏิเสธข่าวใช้นอมินีดอดซื้อหุ้นหวังเทคฯ โนเบิล ด้าน CBRE ระบุคอนโดฯ หรูเริ่มคึกคักหลังการเมืองนิ่ง ต่างชาติทยอยกลับไทย
นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ประธานบริษัทเคพีเอ็น กรุ๊ป คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์บริเวณสุขุมวิท โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมใกล้แนวรถไฟฟ้าในระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ ที่ปัจจุบันมีสินค้าอยู่ไม่มาก ดังนั้น เพื่อรองรับความต้องการของตลาดบริษัทจึงได้เปิดตัวโครงการ เดอะ ดิโพลแมท สุขุมวิท 39 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสพร้อมพงษ์เพียง 104 เมตร ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 1 ไร่เศษ เป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ จำนวน 1 อาคาร สูง 31 ชั้น จำนวน 156 ยูนิต รูปแบบห้องพักประกอบด้วย ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 54-60 ตร.ม., ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 74-94 ตร.ม., ขนาด 3 ห้องนอน พื้นที่ ใช้สอย 134-193 ตร.ม., แบบดูเพล็กซ์ (Duplex) พื้นที่ใช้สอย 157-168 ตร.ม. และแบบเพนต์เฮาส์ (Penthouse) พื้นที่ใช้สอย 135-450 ตร.ม., ที่จอดรถ 160 คัน
ราคาขายเริ่มต้น 15-185 ล้านบาท หรือราคา 2.5-4 แสนบาท/ตร.ม. มูลค่าโครงการ 3,600 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลในวันที่ 6-8 กุมภาพันธ์ นี้ ปัจจุบันมีลูกค้าลงทะเบียนจองแล้วกว่า 2,600 ราย ด้านการก่อสร้างจะเริ่มดำเนินการประมาณเดือนมิถุนายน 2558 คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมิถุนายน 2562 ขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)
ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้คาดว่าจะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 1 โครงการ อยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะนำที่ดินที่มีอยู่แล้วย่านใจกลางเมือง หรือที่ดินที่อยู่ในระหว่างการเจรจาอีก 1 แปลงมาพัฒนา คาดว่าจะเป็นในช่วงไตรมาส 3-4 อาจจะเป็นการพัฒนาภายใต้แบรนด์ “เดอะ แคปปิตอล” โดยจะยังเน้นในตลาดระดับบน เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่มีปัญหาด้านการเงินและมีกำลังซื้อสูง ซึ่งผู้ซื้อ 80% จะซื้อเพื่ออยู่เอง และอีก 20-30% ที่ซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า อย่างไรก็ตาม คาดว่าปี 2558 บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้ประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท จาก 2 โครงการ คือ เดอะ แคปปิตอล ราชปรารภ-วิภาวดี และโครงการเดอะแคปปิตอล เอกมัย-ทองหล่อ
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะพิจารณาการพัฒนาโครงการแนวราบพร้อมทั้งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 2-3 ราย คาดว่าในปีนี้จะมีความชัดเจนในเรื่องการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
นายกฤษณ์ กล่าวเพิ่มว่า ส่วนกรณีกระแสข่าวออกมาว่า ผู้บริหารกลุ่มเคพีเอ็นฯ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเข้าซื้อหุ้นบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE ผ่าน เอบีเอ็น แอมโร นอมินี สิงคโปร์ จนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 30% เมื่อปี 57 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ทางอ้อม (Backdoor Listing) นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
“ต้องขอปฏิเสธอย่างเป็นทางการ เพราะไม่เคยมีความคิดที่จะเข้าไป Backdoor Listing ใคร ซึ่งหลายๆ คนอาจจะมองว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ โดยทางลัดนั้น สามารถทำได้เร็ว ได้ราคาหุ้น แต่จะระดมทุนได้ช้า ส่วนข่าวที่ว่าเราเข้าไปเทกโอเวอร์มาแล้ว 3-4 บริษัท ไม่เป็นความจริงอีกเช่นกัน เพราะกลุ่มเคพีเอ็นฯ จะเน้นการสร้างแบรนด์ของตัวเองมากกว่า และมีแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน มีอยู่ประมาณ 2-3 ราย คาดว่าในปีนี้จะมีความชัดเจนในเรื่องการเสนอขายหุ้นใหม่แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)” นายกฤษณ์ กล่าว
CBRE ระบุตลาดคอนโดฯ หรูเริ่มคึกคัก
ด้านนางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ด เอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE กล่าวว่า ทำเลสุขุมวิทเป็นทำเลของผู้ที่มีฐานะอยู่อาศัยเดิม รวมถึงเป็นทำเลที่ชาวต่างชาติที่ทำงานในไทยนิยมอาศัยอยู่ทำให้มีกำลังซื้อจากต่างชาติส่วนหนึ่ง รวมไปถึงชาวไทยที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยและลงทุนปล่อยเช่า นอกจากนี้ การพัฒนาห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ของกลุ่มบริษัท สยามพิวรรธน์ ในย่านพร้อมพงษ์ ได้แก่ เอ็ม ควอเทียร์, เอ็มสเฟียร์ และห้างเดิมเอ็มโพเรียม อีกทั้งยังมีอาคารสำนักงานเกรดเอ พิรัช ทาวน์เวอร์ที่จะเปิดในเร็วๆ นี้จะส่งให้ทำเลสุขุมวิทตอนต้น โดยเฉพาะในรัศมีสถานีบีทีเอสพร้อมพงษ์เป็นพื้นที่ศูนย์กลางใหม่ และมีความต้องการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่และซุปเปอร์ลักษ์ชัวรี่เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการสำรวจยังพบว่า คอนโดฯ ระดับราคาตั้งแต่ 2.5 แสนบาท/ตร.ม.ขึ้นไป มีอยู่ในตลาดน้อยมาก โดยในปี 57 ที่ผ่านมามีอยู่เพียง 600 ยูนิต เมื่อเทียบกับจำนวนคอนโดฯ ที่อยู่ระหว่างการขายและก่อสร้างในเขตในกลางเมืองประมาณ 28,000 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 85% เหลือขายประมาณ 6,000 ยูนิต จากการที่มีสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดน้อย ทำให้โครงการที่เปิดตัวใหม่ๆ ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันตลาดคอนโดฯ หรูคึกคักขึ้นมาก
นางสาวอลิวัสสา กล่าวเพิ่มว่า ราคาเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมใหม่ในย่านใจกลางเมืองปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรับขึ้นกว่าเท่าตัว เฉลี่ยจาก 78,000- 105,000 บาท/ตร.ม.เป็น 160,000-220,000 บาท/ตร.ม. โดยในสุขุมวิทราคาเฉลี่ยปรับตัวขึ้นจาก 84,000 บาท/ตร.ม.ในปี 2547 มาเป็น 180,000 บาท/ตร.ม.ในปัจจุบัน ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากราคาที่ดินในย่านใจกลางเมืองที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่าในขณะนี้ยังถือว่าน่าสนใจอยู่ที่ระดับ 4% หรือราว 700-800 บาท/ตร.ม./เดือน ซึ่งยังไม่คำนวณถึงการเพิ่มขึ้นของราคาซื้อ-ขายเปลี่ยนมือหรือรีเซล ซึ่งในปี 2557 พบว่า คอนโดมิเนียม ซุปเปอร์ลักชัวรี่ สามารถรีเซลในราคาที่เพิ่มขึ้นปีละ 15-20% เป็นครั้งแรก หลังจาก 3-4 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเพิ่มขึ้นเพียง 10-15%
จากสถิติจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานและพำนักอยู่ในกรุงเทพฯ (Expatriate) ในปี 2557 เพิ่มขึ้น 4% มาอยู่ที่ 7.7 หมื่นคน แต่หากย้อนหลังกลับไปตั้งแต่ปี 2553 จะพบว่า จำนวนเอ็กแพต เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 6-10% และในปลายปีนี้ประเทศไทยจะเริ่มเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งต่างชาติที่จะเข้ามาไทยเริ่มเปลี่ยนจากการลงทุนอุตสาหกรรมเป็นการขยายสำนักงานทำให้ความต้องการเช่าคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นห้องขนาดเล็กลง แต่ต้องอยู่ในทำเลที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าได้เลย ดังนั้น ค่าเช่าคอนโดมิเนียมก็มีโอกาสแพงขึ้นได้อีกมาก
“นับตั้งแต่การเมืองนิ่ง ต่างชาติเริ่มจากนักท่องเที่ยว มาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลังจากความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ก็จะเป็นกลุ่มนักลงทุนหรือผู้ที่มาทำงานในเมืองไทย ซึ่งจะทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในย่านใจกลางเมืองมีเพิ่มมากขึ้น ส่วนการที่มีเหตุระเบิดขึ้นบริเวณรถไฟฟ้าสถานีสยามนั้น เชื่อว่าไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของชาวต่างชาติและยังไม่พบการยกเลิกมาท่องเที่ยวหรือยกเลิกการลงทุนในไทย และเชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี” นางสาวอลิวัสสา กล่าว