- เศรษฐี “สวิตเซอร์แลนด์” ขายห้างสรรพสินค้าหอบเงินลงทุนอสังหาฯ ไทย ผุดPURE SUNSET BEACH คอนโดฯ โลว์ไรส์ ริมหาดตะวันรอน ย่านนาจอมเทียน เล็งหาพันธมิตรร่วมทุนลุยต่อเฟส 2 หลังปิดการขายเฟสแรก 100 ยูนิต จาก 110 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท
นายนิโคลัส บุชเชอร์ ประธานกรรมการบริษัท เวสเทิร์น ซีวิว จำกัด ผู้ลงทุนและสถาปนิกผู้ออกแบบโครงการ “โครงการเพียว ซันเซ็ท บีช” หรือ เพียว หาดตะวันรอน กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการคอนโดมิเนียมสร้างก่อนขายบนพื้นที่ 33 ไร่ แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 2 เฟส โดยเฟสแรกประกอบด้วย อาคารสูง 4-6 ชั้น 6 อาคาร จำนวน 110 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 4.2-40 ล้านบาท มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท โดยขณะนี้สามารถปิดการขายได้แล้ว 100 ยูนิต ส่วนที่เหลือ 10 ยูนิตสุดท้าย บริษัทได้จัดกจกรรมการตลาดขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค.นี้ และคาดว่าจะสามารถปิดการขายในเฟสแรกได้ทั้งหมด
ส่วนเฟสที่ 2 นั้น อยู่ระหว่างการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA โดยคาดว่าในช่วงสัปดาห์นี้จะได้รับใบอนุญาต EIA เนื่องจากการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว สำหรับโครงการในเฟสที่ 2 นี้ จะก่อสร้างเป็นอาคารสูง 4-6 ชั้น จำนวน 200 ยูนิต มูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท แบ่งการก่อสร้างออกเป็น 4 อาคาร อาคารละ 50 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 4-40 ล้านบาท
“ในเฟสแรกเราใช้เงินส่วนตัวที่ได้จากการขายห้างสรรพสินค้าส่วนตัวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ บางส่วนมาใช้ในการลงทุนพัฒนาโครงการทั้งหมด แต่ในเฟสที่ 2 นี้ เป็นเฟสที่มีขนาดใหญ่กว่าเฟสแรกกว่าเท่าตัว ดังนั้น จึงต้องการหาผู้ร่วมทุนเข้ามาร่วมกันพัฒนาโครงการ ซึ่งรูปแบบการร่วมทุนนั้นอาจจะแบ่งเป็นการร่วมทุนเฉพาะตึก หรือทั้งหมด แต่รูปแบบโครงการจะยังคงเดิมเหมือนที่ออกแบบไว้ อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่จะเข้ามาร่วมทุนนั้นมีทีมการตลาดมาร่วมด้วยก็จะถือว่าดีมาก”
นานนิโคลัส กล่าวว่า สำหรับโครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตในวัยเกษียณในเมืองไทย ทั้งนี้ จากประสบการณ์นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และสถาปนิกผู้ออกแบบที่พัฒนาโครงการอสังหาฯ ในต่างประเทศจำนวนมาก โครงการนี้จึงเป็นโครงการมาสเตอร์พีซที่มีความพิเศษสำคัญทุกขั้นตอน
“โครงการนี้ตั้งอยู่บนที่ดินที่มีศักยภาพสูง ไม่เพียงแต่อยู่ติดทะเล แต่ยังมีความลาดชันสวยงาม และยังอยู่ในทำเลที่ดีมาก นอกจากจะแวดล้อมด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญหลาย ในอนาคตอันใกล้ก็จะมีโครงการมอเตอร์เวย์ 7 (พัทยา-มาบตาพุด) ตัดผ่านด้านหน้า โดยมีทางเข้าออกจากมอเตอร์เวย์อยู่ห่างไม่เกิน 1 กิโลเมตร โดยจะเริ่มสร้างมอเตอร์เวย์ในปี 2558 นี้”
ส่วนการออกแบบ และก่อสร้างในโครงการนี้เน้นที่การออกแบบซึ่งคำนึงถึงความกลมกลืนกับธรรมชาติ ทุกห้องในเฟสแรกจะสามารถมองเห็นทะเลได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวางสายตา และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco Friendly) ซึ่งมีระบบการหมุนเวียนน้ำใช้ ระบบการกรองเก็บน้ำฝนสำหรับดื่มใช้ ระบบผนังกันร้อน ระบบไฟแอลอีดี ระบบพลังงานแสงอาทิตย์ และการออกแบบเพื่อประหยัดพลังงาน และความอยู่สบาย วัสดุก่อสร้าง และการก่อสร้างทั้งหมดอยู่ภายใต้มาตรฐานยุโรป
นางนภารัตน์ สิหนาทกถากุล ผู้อำนวยการการตลาดและการขาย บริษัท เวสเทิร์น ซีวิว จำกัด และผู้ร่วมลงทุนในโครงการ กล่าวว่า “เพียว ซันเซ็ท บีช พัฒนาเป็นโครงการโลว์ไรส์ เพราะเล็งเห็นแล้วว่าอสังหาริมทรัพย์ในย่านนาจอมเทียน ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคอนโดไฮไรส์ และมีจำนวนยูนิตมากๆ ต่อโครงการ เน้นตอบโจทย์ลูกค้าระดับล่างถึงกลาง ซี่งปัจจุบันเริ่มเห็นภาวะโอเวอร์ซัปพลายบ้างแล้ว
“เรามองว่าโครงการไฮไรส์ ส่วนใหญ่อาจเกิดจากผู้ที่ครอบครองที่ดินติดทะเลต้องการที่จะสร้างมูลค่าจากการลงทุนให้ได้มากที่สุด ในขณะที่โครงการเพียวเรามองในมุมกลับกันว่า เราทำให้จำนวนยูนิตมีน้อย ประกอบกับกลุ่มตลาดบนยังคงมีดีมานด์สูง น่าจะทำให้โครงการเป็นที่ต้องการและสามารถขายได้ง่ายในตลาดบน”
“จากแนวคิดดังกล่าวทำให้โครงการที่บริษัทพัฒนาออกมาได้รับการตอบรับที่ดี จนสามารถปิดขายการขายห้องชุดในเฟสแรกไปแล้ว 100 ยูนิต หรือกว่า 90% โดยราคาขายในปัจจุบันอยู่ที่ตารางเมตรละ 120,000-210,000 บาท ซึ่งในเฟสแรกมีทั้งหมด 6 อาคาร รวมแล้ว 110 ยูนิต แบ่งเป็นประเภทห้อง ได้แก่ ห้องสตูดิโอ 1 ห้องนอน และเพนต์เฮาส์ โดยมีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 33.0 ตร.ม.-208.0 ตร.ม. และราคาเริ่มต้นที่ 4.2-40 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับขนาด และตำแหน่งของห้อง”
“PURE SUNSET BEACH จะมีกิจกรรมเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ ในวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2557 โดยผู้ที่สนใจสามารถร่วมงานได้ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป โดยจะมีการเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง พร้อมทั้งการเปิดตัวคลับเฮาส์ และตึก E ซึ่งเป็นตึกสุดท้ายของเฟสแรกที่จะเริ่มเปิดขาย ซึ่งโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อห้องในวันงานจะได้รับไอโฟน 6 รุ่นพิเศษออกแบบจาก Golden Dreams เมืองเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งประกอบ ด้วยวัสดุสุดพรีเมียม ทั้งหนังจระเข้ และทองคำ 24K พร้อมสลักชื่อผู้เป็นเจ้าของ มูลค่า 150,000 บาท”
