ธปท. ยอมรับ ศก.ไทยไม่ฟื้นตัวแรงตามที่ประมาณการไว้ ชี้การเบิกจ่ายภาครัฐเป็นปัจจัยเสี่ยง แถมส่งออกยังไม่ดีขึ้น ระบุหากไทยไม่สามารถเบิกงบประมาณได้ถึง 91% อาจฉุด GDP ปีนี้เติบโตไม่ถึง 1.5% ตามที่คาดเอาไว้ ขณะที่สัญญาณการบริโภคภาคเอกชนเริ่มอ่อนแรง
นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจและการเงินเดือน ส.ค.57 ยังคงฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากอุปสงค์ในประเทศ และภาคการท่องเที่ยว แต่การใช้จ่ายในประเทศทั้งของภาครัฐ และภาคเอกชนอ่อนแรงลงเล็กน้อย เมื่อเทียบในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ที่สถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายใหม่ๆ
โดยยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะขยายตัวในอัตราต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ในปี 57 ที่ 1.5% หากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐไม่สามารถเบิกได้ถึง 91.4% ตามที่คาดการณ์ไว้
ทั้งนี้ ในเดือน ส.ค.มีสัญญาณการบริโภคภาคเอกชนอ่อนแรง โดยการชะลอตัวมาจากการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทน เช่น อาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงแรงกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาครัฐแผ่วลง หลังจากภาครัฐใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงก่อนหน้า
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐลดลงทั้งการซื้อสินค้าและบริการ และการลงทุนที่ยังทำได้ค่อนข้างช้า ส่วนรายได้นำส่งลดลงสะท้อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัวในช่วงก่อนหน้านี้ และปัจจุบันยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการฟื้นตัว
ขณะที่การส่งออกสินค้าโดยรวมในเดือน ส.ค.ยังคงอ่อนแอ โดยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 18,655 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 6.6% อ่อนแอลงในเกือบทุกตลาด โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ทั้งยานยนต์เครื่องใช้ไฟฟ้า ปิโตรเคมี
ด้านการนำเข้าโดยรวมอยู่ที่ 16,456 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 8.3% เช่นกัน ด้านการลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวแบบไม่ต่อเนื่อง และยังไม่กระจายตัวไปในทุกภาค เพราะอุปสงค์โดยรวมยังต่ำกว่าระดับปกติ และหลายอุตสาหกรรมยังมีกำลังการผลิตเพียงพอ โดยกำลังการผลิตยังอยู่ที่ 60.3% ส่วนความเชื่อมั่นภาคธุรกิจอยู่ที่ 49.1
สำหรับเสถียรภาพในประเทศ อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ อัตราเงินเฟ้อลดลงเล็กน้อยตามราคาอาหารสดและพลังงาน สำหรับเสถียรภาพต่างประเทศ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลจากการนำเข้าที่ยังมีค่อนข้างน้อย ดุลเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุล เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายพันธบัตรระยะสั้นเพื่อทำกำไร ประกอบกับสถาบันการเงินมีการชำระคืนเงินกู้ต่างประเทศระยะสั้น โดยรวมดุลการชำระเงินขาดดุล สัดส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ระยะสั้นอยู่ในเกณฑ์มั่นคง