“สิงห์ เอสเตท” หรือ S เล็งขายหุ้นให้ PP ในปี 58 แก้ปัญหาฟรีโฟลต แย้มแผนขยายธุรกิจมีทั้งลงทุนเอง และการเข้าซื้อกิจการ เผยอยู่ระหว่างเจรจาซื้อกิจการในประเทศเพิ่ม คาดสรุปได้ 1 ดีลภายในปีนี้
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ระบุว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจทั้งการลงทุนเอง และการซื้อกิจการ เพื่อให้เกิดการเติบโต โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการเพิ่มทุน และการกู้สถาบันการเงิน นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขายหุ้นให้แก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) ภายในปี 58 เพื่อแก้ไขปัญหาฟรีโฟลต
นางเชิญพร สุภธีระ ผู้อำนวยการนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.สิงห์ เอสเตท ยอมรับว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการใหม่เข้ามาเพิ่มเติม เนื่องจากสินทรัพย์ของ บมจ.รสา พร๊อพเพอร์ตี้ (RASA) เดิมมีจำนวนน้อย โดยได้มีการเจรจาหลายแห่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้อย่างน้อย 1 ดีล
“ขณะนี้สินทรัพยที่มีเหลืออยู่น้อยมาก ก็มีการคุยซื้อสินทรัพย์ใหม่ อาจจะเป็นโรงแรมหรืออะไรต้องดูอีกที มีคุยอยู่หลายกิจการมาก แต่คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ 1 ดีล” นางเชิญพร กล่าว
ด้านนายเมธี วินิชบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน S กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาถือหุ้น S เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น S ซึ่งขณะนี้กลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ ถือในสัดส่วน 90% ถือว่า ยังสูงกว่าเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนด ทำให้ปัจจุบัน ผู้ถือหุ้นรายย่อยสามารถถือหุ้น S ได้ในสัดส่วนเพียง 10% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่เมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่ 15% ทำให้บริษัทมีแนวคิดในการหาพันธมิตรเพื่อเข้ามาถือหุ้น S เพื่อทำให้สัดส่วนเป็นตามเกณฑ์ โดยขณะนี้ได้มีการเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อเข้ามาถือหุ้น S ซึ่งจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับนโยบายในการหาผู้ถือหุ้นภายในเดือน ต.ค.ปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทมีความสนใจพันธมิตรในต่างประเทศเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพันธมิตรที่มาจากด้านการเงิน ซึ่งจะช่วยเสริมศักภาพให้ S มีความแข็งแกร่ง และสามารถมีการต่อยอดธุรกิจได้ทั้งในและต่างประเทศ
ด้านนายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร S กล่าวว่า ปัจจุบัน S มีที่ดินทั้งหมดจำนวน 3 แปลง ได้แก่ ที่ดินที่อโศก 11 ไร่ ที่ดินสิงห์เฮาส์ อโศก 2 ไร่ และที่ดินเรียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา 30 ไร่ โดยแต่ละที่ทางบริษัทจะนำไปพัฒนาในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดยปัจจุบัน S มีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งหมดราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีโครงการที่เหลือขายจาก RASA จำนวน 100 ยูนิต แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 20 ยูนิต และโครงการแนวราบ 80 ยูนิต ทั้งนี้ บริษัทจะมีการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในทุกรูปแบบ อย่างเช่น ที่พักอาศัย โรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนระยะสั้น 1 ปี และระยะกลาง-ยาว 3 ปี ซึ่งคาดว่า จะมีการจัดทำแผนแล้วเสร็จภายเดือน ต.ค.นี้ และขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ที่อโศก คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 58 โดยมูลค่าที่ดินของโครงการนี้ราว 3.3 พันล้านบาท
นายนริศ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าว S มีแผนจะเข้าซื้อกิจการของบมจ.แนเชอรัล พาร์ค (NPARK) โดยระบุว่า ตนเองไม่ยืนยันและไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกระแสข่าวลือที่เราจะเข้าฮุบ NPARK แต่อย่างใด
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S ระบุว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจทั้งการลงทุนเอง และการซื้อกิจการ เพื่อให้เกิดการเติบโต โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการเพิ่มทุน และการกู้สถาบันการเงิน นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขายหุ้นให้แก่นักลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) ภายในปี 58 เพื่อแก้ไขปัญหาฟรีโฟลต
นางเชิญพร สุภธีระ ผู้อำนวยการนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.สิงห์ เอสเตท ยอมรับว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อเข้าซื้อกิจการใหม่เข้ามาเพิ่มเติม เนื่องจากสินทรัพย์ของ บมจ.รสา พร๊อพเพอร์ตี้ (RASA) เดิมมีจำนวนน้อย โดยได้มีการเจรจาหลายแห่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้อย่างน้อย 1 ดีล
“ขณะนี้สินทรัพยที่มีเหลืออยู่น้อยมาก ก็มีการคุยซื้อสินทรัพย์ใหม่ อาจจะเป็นโรงแรมหรืออะไรต้องดูอีกที มีคุยอยู่หลายกิจการมาก แต่คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปีนี้ 1 ดีล” นางเชิญพร กล่าว
ด้านนายเมธี วินิชบุตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน S กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจาหาพันธมิตรเข้ามาถือหุ้น S เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของหุ้น S ซึ่งขณะนี้กลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ ถือในสัดส่วน 90% ถือว่า ยังสูงกว่าเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำหนด ทำให้ปัจจุบัน ผู้ถือหุ้นรายย่อยสามารถถือหุ้น S ได้ในสัดส่วนเพียง 10% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่เมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่ 15% ทำให้บริษัทมีแนวคิดในการหาพันธมิตรเพื่อเข้ามาถือหุ้น S เพื่อทำให้สัดส่วนเป็นตามเกณฑ์ โดยขณะนี้ได้มีการเจรจากับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศเพื่อเข้ามาถือหุ้น S ซึ่งจะได้ข้อสรุปเกี่ยวกับนโยบายในการหาผู้ถือหุ้นภายในเดือน ต.ค.ปีนี้
ทั้งนี้ บริษัทมีความสนใจพันธมิตรในต่างประเทศเป็นพิเศษ โดยเฉพาะพันธมิตรที่มาจากด้านการเงิน ซึ่งจะช่วยเสริมศักภาพให้ S มีความแข็งแกร่ง และสามารถมีการต่อยอดธุรกิจได้ทั้งในและต่างประเทศ
ด้านนายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร S กล่าวว่า ปัจจุบัน S มีที่ดินทั้งหมดจำนวน 3 แปลง ได้แก่ ที่ดินที่อโศก 11 ไร่ ที่ดินสิงห์เฮาส์ อโศก 2 ไร่ และที่ดินเรียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา 30 ไร่ โดยแต่ละที่ทางบริษัทจะนำไปพัฒนาในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป โดยปัจจุบัน S มีมูลค่าสินทรัพย์รวมทั้งหมดราว 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีโครงการที่เหลือขายจาก RASA จำนวน 100 ยูนิต แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 20 ยูนิต และโครงการแนวราบ 80 ยูนิต ทั้งนี้ บริษัทจะมีการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในทุกรูปแบบ อย่างเช่น ที่พักอาศัย โรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนระยะสั้น 1 ปี และระยะกลาง-ยาว 3 ปี ซึ่งคาดว่า จะมีการจัดทำแผนแล้วเสร็จภายเดือน ต.ค.นี้ และขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ที่อโศก คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปี 58 โดยมูลค่าที่ดินของโครงการนี้ราว 3.3 พันล้านบาท
นายนริศ กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าว S มีแผนจะเข้าซื้อกิจการของบมจ.แนเชอรัล พาร์ค (NPARK) โดยระบุว่า ตนเองไม่ยืนยันและไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับกระแสข่าวลือที่เราจะเข้าฮุบ NPARK แต่อย่างใด