“ระยองไวร์ฯ” มั่นใจเทรดวันแรก 18 ก.ย. คึกคัก บรรยากาศเอื้ออำนวย คาดแนวโน้มธุรกิจโตได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้ปี 58 จะเติบโตราว 10% จากปีนี้ที่คาดว่า จะมีรายได้ราว 1 พันล้านบาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มก่อสร้าง ซึ่งเป็นหลุ่มที่บริษัทมีสัดส่วนรายได้สูงถึง 90-95% ของรายได้ทั้งหมด
นายเชนินทร์ เชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RWI เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจสูงในการนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของ RWI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 18 ก.ย. เนื่องจากมองว่า เป็นจังหวะที่ดี บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยช่วงนี้เอื้ออำนวยต่อการลงทุน และด้วยผลการดำเนินงานของบริษัทที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มความน่าสนใจสำหรับการนำหุ้นเข้ามาซื้อขายด้วย
โดย RWI เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 150 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท ในราคาเสนอขาย 1.60 บาทต่อหุ้น ซึ่งราคา IPO มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ประมาณ 8.58 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับค่า P/E ของตลาดหลักทรัพย์ mai ในช่วง 1 ปีที่ 33.18 เท่า
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่า รายได้ปี 2558 จะเติบโตราว 10% โดยจะมีรายได้ประมาณ 1 พันล้านบาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมา มีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มก่อสร้าง ซึ่งเป็นกลุ่มที่บริษัทมีสัดส่วนรายได้สูงถึง 90-95% ของรายได้ทั้งหมด
รวมทั้งมองว่าบริษัทจะได้รับปัจจัยบวกจากโครงการลงทุนในด้านต่างๆ ของภาครัฐกำลังจะทยอยออกมาที่คาดว่า จะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณปี 57 ตั้งแต่เดือน ต.ค.57 นี้ และคาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ บริษัทยังได้มองไปถึงปี 59 โดยตั้งเป้ารายได้จะเติบโตจากปี 58 ไม่ต่ำกว่า 20% เนื่องจาก บริษัทจะนำเงินที่ได้จาการขายหุ้น IPO ราว 240 ล้านบาท มาใช้ลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 6 พันตัน/เดือนในช่วงปลายปี 2558 และจะสามารถใช้กำลังการผลิตได้เต็มที่ในปี 2559 จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตราว 3 พันตัน/เดือน และเงินส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการซื้อวัตถุดิบเพื่อรองรับคำสั่งซื้อในอนาคต
ทั้งนี้ บริษัท คาดว่า จะสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิปีนี้ที่ 12.7% ระดับเดียวกับปีก่อน ภายใต้นโยบายของบริษัทที่จะรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ไม่ต่ำกว่า 10% เนื่องจากบริษัทสามารถบริหารจัดการด้านวัตถุดิบได้ดี ทำให้มีส่วนต่างกำไรเข้ามาเพิ่มขึ้น ประกอบกับ บริษัทฯ ได้เน้นขายสินค้าเหล็กให้กับผู้ประกอบการรายเล็กที่สามารถทำกำไรได้สูงกว่าการขายให้กับโครงการขนาดใหญ่