“คิวทีซี เอนเนอร์ยี่” เร่งขยายตลาดเพิ่ม หวังดันออเดอร์เข้า เผย ส.ค.นี้ รับรู้รายได้จากญี่ปุ่น

คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ เดินหน้าตอกย้ำขยายตลาด พร้อมเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่ม ด้าน ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ “พูลพิพัฒน์ ตันธนสิน” เผย เดือนสิงหาคมนี้ บริษัทฯ เตรียมเข้าประมูลงานภาครัฐ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท พร้อมเตรียมรับทรัพย์จากการส่งมอบการว่าจ้างผลิต OEM ให้ญี่ปุ่น เข้ามาประมาณ 10 ล้านบาท เชื่อครี่งปีหลังจะมีออเดอร์ใหม่ทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้น เหตุเป็นช่วง High Season คาดการณ์ปีนี้รายได้แตะที่ระดับ 1,000 ล้านบาท

นายพูลพิพัฒน์ ตันธนสิน ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท คิวทีซี เอนเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ QTC เปิดเผยถึงแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทฯ ยังคงมีแผนในการปรับกลยุทธ์ในการขยายฐานลูกค้า พร้อมทั้งมุ่งเน้นเปิดตลาดใหม่ทั้งในประเทศ และต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมุ่งเน้นขยายตลาดในแถบประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งจะเห็นได้จากการเข้าไปรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) ให้กับลูกค้ารายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเตรียมส่งมอบสินค้า (ออเดอร์) งานล็อตแรก คิดเป็นมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ภายในเดือนสิงหาคมนี้ พร้อมทั้งนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมความพร้อมในการประมูลงานภาครัฐ มูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่เลื่อนการประมูลตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา

“การผลิต OEM ให้กับลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น คือ ว่าเป็นครั้งแรก เนื่องจากผู้ประกอบการบริษัทดังกล่าวมั่นใจในศักยภาพของบริษัทฯ ซึ่งก็ถือว่าเป็นผลดีต่อบริษัทฯ กรณีการเริ่มเข้าไปเจาะตลาด OEM ในประเทศดังล่าวได้ โดยการผลิตในล็อตแรก บริษัทฯ จะมีรายได้จากการส่งมอบเข้ามาประมาณ 10 ล้านบาท” นายพูลพิพัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น โดยการนำระบบบริหารจัดการแบบบูรณาการอย่างยั่งยืน หรือ (Total Quality Management : TQM) มาใช้เพื่อสร้างพื้นฐานความเป็นบริษัทที่มีมาตรฐานระดับโลก เพื่อให้การบุกตลาดต่างประเทศง่ายขึ้น ซึ่งปัจจุบันลูกค้าต่างประเทศของ QTC ได้แก่ ลูกค้าในประเทศภูมิภาคอาเซียน ออสเตรเลียและยุโรป

ส่วนความคืบหน้าการขยายธุรกิจในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) นั้น นายพูลพิพัฒน์ กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ เข้าประมูลงานใน สปป.ลาว มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่า ทราบผลได้ภายในเร็วๆ นี้

ประธานคณะกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับ ช่วงไตรมาส 3-4 เป็นช่วงไฮซีซันของธุรกิจ บริษัทฯ จึงมั่นใจว่า คำสั่งซื้อสินค้าจะทยอยเข้ามาเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเข้าประมูลงานภาครัฐ รวมถึงการเปิดตัวของโครงการใหม่ๆ ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวในข้างต้น ส่งให้บริษัทฯ คาดการณ์อัตราการเติบโตของรายได้ในปีนี้ที่ระดับ 1,000 ล้านบาท

โดยสัดส่วนรายได้หลักจะมาจากยอดขายในประเทศ ประมาณ 80% แบ่งเป็นรายได้ที่มาจาก ภาครัฐบาล 30% ส่วนอีก 70% มาจากภาคเอกชน ขณะสัดส่วนรายได้อีก 20% มาจากต่างประเทศ

สำหรับผลการดำเนินในงวดไตรมาส 2/2557 บริษัทฯ มีรายได้รวม 140.39 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวมจำนวน 175.81 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 20.14 โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 4.25 ล้านบาท สาเหตุที่ผลการดำเนินงานลดลง เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และสถานการณ์การเมืองที่ไม่แน่นอน ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้