“ตลาดทองคำ” จับตาความตึงเครียดในตะวันออกกลาง คาดดันราคาทองคำโลกแตะ 1,300-1,350 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เผยธนาคารกลางรัสเซีย กว้านซื้อทองคำเพิ่มขึ้นอีก 15 ตัน ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
น.ส.ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า ให้จับตาสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่จะเป็นปัจจัยหลักกดดันให้ราคาทองคำในตลาดโลกระยะสั้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยล่าสุด ธนาคารกลางของรัสเซีย ซื้อทองคำเพิ่มขึ้นอีก 15 ตัน ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหากสถานการณ์ในตะวันออกกลางกลับมารุนแรงขึ้น ราคาทองมีโอกาสจะแตะ 1,330-1,350 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาทองคำปรับลดลงถึงระดับ 1,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ก็จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาลงทุน โดยกรอบการเคลื่อนไหวในปีนี้ 1,200-1,400 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ราคาในประเทศ 19,300-19,900 บาท
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำในปีหน้าคาดว่า ราคาทองคำจะอยู่ในช่วงของการปรับขาลง เนื่องจากทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดีขึ้น ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และเชื่อว่าราคาทองคำจะไม่ต่ำกว่า 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
ด้าน นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการ MTS Gold แม่ทองสุก มองว่า การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 29-30 ก.ค.นี้ หากนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต่อไป เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นจากอัตราการว่างงานที่ลดลง จะทำให้ราคาทองคำในตลาดโลกแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,290-1,310 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ และประธานบริษัทห้างขายทอง จินฮั้วเฮง กล่าวว่า ราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปีนี้จะผันผวนมากกว่าช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เนื่องจากปัจจัยที่เข้ามากระทบยังมีความไม่แน่นอน ทั้งความกังวลต่อเหตุการณ์รุนแรงเพิ่มขึ้นในฉนวนกาซา และความตึงเครียดในยูเครน รวมทั้งนโยบายการเงินของสหรัฐฯ เรื่องการลดขนาด QE และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้ราคาทองคำผันผวนอยู่ในกรอบ 1,170-1,450 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือประมาณ 18,500-21,000 บาท