จิตติพร จันทรัช บิ๊กบอส XO แถลงความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เตีรยมขายหุ้น IPO จำจวน 70 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 0.50 บาท/หุ้น ด้าน สมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ ฟินันเซีย ไซรัส มั่นใจหุ้นได้รับความสนใจสูงเพราะธุรกิจแข็งแกร่ง การเติบโตต่อเนื่อง เชื่อไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง ขณะที่ วรชาติ ทวยเจริญ เอ็มดี ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ ที่ปรึกษาทางการเงิน เผย ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในไตรมาส 3 ปีนี้
นายจิตติพร จันทรัช กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอ็กโซติค ฟู๊ด หรือ XO กล่าวว่า บริษัทฯ ได้แต่งตั้งบมจ.หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน XO เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 70 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นร้อยละ 20 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออก และเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จะนำไปใช้ซื้อเครื่องจักร และอุปกรณ์ ก่อสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินไว้ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ตั้งแต่ปี 2555 เรียบร้อยแล้ว รวมทั้งชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีสัดส่วนการส่งออกไปกว่า 50 ประเทศทั่วโลก โดยแบ่งเป็นยุโรป 75% และประเทศอื่นๆ อีก 25% โดยตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากยุโรปให้เพิ่มขึ้นเป็น 35% ซึ่งทางบริษัทมีแผนจะออกสินค้าใหม่เพื่อเจาะตลาดสิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะเดียวกัน มีแผนออกสินค้าใหม่เพื่อบุกตลาดจีนในปี 59 รวมถึงจะเน้นขยายตลาดสหรัฐฯ ไปพร้อมกันด้วย โดยในปีนี้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทจะกลับเข้าสู่ปกติที่ 8% จากไตรมาส 1/57 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 7.8% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิในปี 56 อยู่ที่เพียง 1.5% ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนระบบบัญชีแบบใหม่ ในขณะเดียวกัน ปีนี้เราได้มีการควบคุมต้นทุนมากขึ้น และเน้นขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูงมากขึ้น
ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับออเดอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเตรียมรุกตลาดอเมริกา และตลาดเอเชียเพิ่มเติม นอกเหนือจากตลาดหลักที่ยุโรปซึ่งเป็นตลาดที่บริษัทฯ แข็งแกร่ง นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ออกงานแสดงสินค้าที่ประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อหาลูกค้าใหม่เพิ่มเติม และสร้างทีมฝ่ายขายเพื่อรุกแต่ละแบรนด์ของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจึงเชื่อว่าจะสนับสนุนให้เป้าหมายยอดขายในปีนี้ที่วางไว้จะเติบโตไม่ต่ำกว่าอีก 25% จากปี 2556 ซึ่งอยู่ที่ 608.65 ล้านบาท ได้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้
“แผนการลงทุนก่อสร้างโรงงาน และซื้อเครื่องจักรใหม่ คาดว่ามีมูลค่ารวมประมาณ 250 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนก่อสร้างโรงงานใหม่ 80 ล้านบาท และซื้อเครื่องจักรใหม่ 170 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในปี 2557 คาดใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 1 ปี และเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในไตรมาส 4 /2558 สำหรับการลงทุนครั้งนี้ จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตได้ไม่ต่ำกว่าอีกเท่าตัวจากกำลังการผลิตของแต่ละกลุ่มสินค้าในปัจจุบันซึ่งใกล้เต็มแล้ว เพื่อสนับสนุนยอดขาย และกำไรให้เติบโตเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน”
ขณะที่ นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บมจ.เอ็กโซติค ฟู้ด หรือ XO เป็นผู้ผลิต จัดหา และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ซอสปรุงรส และเครื่องประกอบอาหาร ซึ่งมีสินค้ากว่า 250 สูตร ส่งขายไปยังประเทศต่างๆ กว่า 50 ประเทศ โดยมีสัดส่วนการส่งออกกว่า 99% ของรายได้ทั้งหมด โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท และมีทุนเรียกชำระแล้ว 140 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้พิจารณานับหนึ่งไฟลิ่ง เรียบร้อยแล้ว
ส่วนนายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.หลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส หรือ FSS ในฐานะแกนนำการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ XO เปิดเผยว่า มั่นใจว่าหุ้น XO จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนจองซื้อหุ้นครั้งนี้จำนวนมาก ด้วยความโดดเด่นในปัจจัยพื้นฐานของ XO เองไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่หลากหลาย บรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น ช่องทางการจำหน่ายที่แข็งแกร่ง รวมทั้งอยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ เพื่อผลักดัน “ครัวไทย สู่ครัวโลก” รวมทั้งความมุ่งมั่นของผู้บริหารที่จะสามารถนำพา XO ให้ก้าวเดินไปในอนาคต โดยจะเห็นได้จากผลประกอบการที่เติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะไตรมาส 1 ปี 2557 ที่ผ่านมา จึงเชื่อว่าหุ้น XO จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างแน่นอน โดยคาดว่าจะสามารถเปิดจองซื้อหุ้น IPO และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ได้ภายในไตรมาส 3/2557
สำหรับผลประกอบการล่าสุด งวดไตรมาส 1/2557 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าอยู่ที่ 179.17 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 114.34 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 64.83 ล้านบาท หรือ 56.7% กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 59.26 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 22.09 ล้านบาท คิดเป็นการปรับเพิ่มขึ้น 37.17ล้านบาท หรือ 168.27% ส่วนกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 14.02 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนอยู่ที่ (2.95) ล้านบาท ซึ่งนับเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
