แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมและดิจิตอลทีวีแบบครบวงจร พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai 23 มิ.ย. นี้
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย (PCA) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 23 มิถุนายน 2557 นี้ โดย PCA เป็นผู้ให้บริการ ออกแบบ ติดตั้ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชั้นนำจากทั่วโลก ด้านระบบสื่อสารแบบไร้สาย (wireless network) ระบบสื่อสารแบบโครงข่ายสายสัญญาณ (wire network) ระบบมัลติมีเดีย (multimedia) และให้บริการผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับระบบถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์และดิจิตอลทีวี (Broadcast / Digital TV) รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยการต่อเชื่อมอุปกรณ์ต่างๆ ให้ใช้งานร่วมกันเป็นโซลูชั่น ภายใต้แบรนด์ “Planetcom”
PCA มีทุนชำระแล้ว 250 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 175 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 75 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการและพนักงานของบริษัท จำนวน 5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.80 บาท เมื่อวันที่ 16 - 18 มิถุนายน 2557 โดยมีมูลค่าระดมทุน 210 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ กรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร PCA เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน และเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้กับบริษัท โดยจะนำเงินระดมทุนไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขยายธุรกิจ รองรับการเติบโตของบริษัทฯ
PCA มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มรัฐเลิศกานต์ ถือหุ้น 35.85% ครอบครัวนายเทรเวอร์ จอห์น ทอมสัน ถือหุ้น 31.58% และนางรัตนา สุวรรณ ถือหุ้น 2.08% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) 9.89 เท่า โดยคำนวณจากกําไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (เมษายน 2556 - มีนาคม 2557) หารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.28 บาท ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิในแต่ละปีหลังจากหักขาดทุนสะสมยกมา (ถ้ามี) และการจัดสรรทุนสำรองตามกฏหมาย
นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ. แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย (PCA) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 23 มิถุนายน 2557 นี้ โดย PCA เป็นผู้ให้บริการ ออกแบบ ติดตั้ง และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชั้นนำจากทั่วโลก ด้านระบบสื่อสารแบบไร้สาย (wireless network) ระบบสื่อสารแบบโครงข่ายสายสัญญาณ (wire network) ระบบมัลติมีเดีย (multimedia) และให้บริการผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับระบบถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์และดิจิตอลทีวี (Broadcast / Digital TV) รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วยการต่อเชื่อมอุปกรณ์ต่างๆ ให้ใช้งานร่วมกันเป็นโซลูชั่น ภายใต้แบรนด์ “Planetcom”
PCA มีทุนชำระแล้ว 250 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 175 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 75 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการและพนักงานของบริษัท จำนวน 5 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.80 บาท เมื่อวันที่ 16 - 18 มิถุนายน 2557 โดยมีมูลค่าระดมทุน 210 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ กรรมการผู้อำนวยการและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร PCA เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ความแข็งแกร่งทางด้านเงินทุน และเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจให้กับบริษัท โดยจะนำเงินระดมทุนไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขยายธุรกิจ รองรับการเติบโตของบริษัทฯ
PCA มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 ลำดับแรกหลัง IPO ได้แก่ กลุ่มรัฐเลิศกานต์ ถือหุ้น 35.85% ครอบครัวนายเทรเวอร์ จอห์น ทอมสัน ถือหุ้น 31.58% และนางรัตนา สุวรรณ ถือหุ้น 2.08% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) 9.89 เท่า โดยคำนวณจากกําไรสุทธิของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (เมษายน 2556 - มีนาคม 2557) หารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.28 บาท ทั้งนี้บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิในแต่ละปีหลังจากหักขาดทุนสะสมยกมา (ถ้ามี) และการจัดสรรทุนสำรองตามกฏหมาย