เธียรสุรัตน์ (TSR) ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องกรองน้ำภายใต้เครื่องหมายการค้า “SAFE” พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 19 มิ.ย. นี้
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ.เธียรสุรัตน์ (TSR) จะเข้าจดทะเบียน และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค หมวดของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน ตั้งแต่วันที่ 19 มิถุนายน 2557 ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,204 ล้านบาท
TSR ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องกรองน้ำ ผ่านระบบการขายตรงแบบชั้นเดียว (Single Level Direct Sales) ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล รวมถึงในส่วนของภูมิภาค ด้วยการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์กรองน้ำด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทีมพนักงานขายตรงที่มีคุณภาพ และบริการหลังการขายที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้ปี 2556 TSR มีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ร้อยละ 16 จากมูลค่าตลาดเครื่องกรองน้ำที่ใช้ในครัวเรือนทั้งหมด
TSR มีทุนชำระแล้ว 344 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม 258 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 86 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 3.50 บาท เมื่อวันที่ 11-13 มิถุนายน 2557 มีมูลค่าระดมทุน 301 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายวีรวัฒน์ แจ้งอยู่ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เธียรสุรัตน์ (TSR) เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้แก่บริษัท และช่วยยกระดับการดำเนินงานสู่การเป็นบริษัทมหาชน โดยบริษัทมีแผนที่จะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปใช้ในการสร้างโรงงานแห่งใหม่แห่งที่ 4 ขยายสาขา และศูนย์บริการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ พัฒนาผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่เพื่อให้เหมาะสมต่อคุณภาพน้ำแต่ละพื้นที่ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าให้หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการเพิ่มช่องทางการขายที่ทันสมัยเพื่อตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ซึ่งการเข้าจดทะเบียนนั้นจะช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TSR 3 ลำดับแรก ได้แก่ ตระกูลแจ้งอยู่ ถือหุ้น 67.20% ตระกูลศิริทรัพย์ และวัชรธรรม ถือหุ้น 2.84% และ น.ส.สุชีรา เตชาพลาเลิศ ถือหุ้น 2.62% การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นครั้งนี้คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 16.32 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 2/2556 ถึงไตรมาส 1/2557) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (Fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.21 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และเงินสำรองตามที่กฎหมายกำหนด