xs
xsm
sm
md
lg

ส่องหุ้นท่องเที่ยวฟื้นรับการเมืองนิ่ง คาดหลายประเทศเตรียมยกเลิกคำเตือนเข้าไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นักวิเคราะห์เชื่อหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวฟื้นตัวรับสถานการณ์การเมืองในประเทศคลี่คลาย หลังได้รับความกดดันมาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน ยก “ท่าอากศยานไทย” โดดเด่น CPN นำกลุ่มห้างสรรพสินค้า กลุ่มโรงแรม กลุ่มธนาคารจ่อปรับตัวเพิ่มรับเม็ดเงินลงทุนไหลเข้านับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มประสบวิกฤตการณ์ทางการเมือง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำประชาชนปิดถนนหลังที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2556 เพื่อประท้วงร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับ “สุดซอย” เรื่อยมาจนประกาศลาออกจากพรรคประชาธิบัตย์ ลงมาเป็นผู้นำการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลอดีตนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย เห็นได้ชัดเจนว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ณ เดือนธันวาคม 2556 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,598,015 คน เพิ่มขึ้น 6.67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำที่สุดจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อ

อีกทั้งยังถูกซ้ำเติมด้วยการประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารประเทศในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยทันทีที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 21 มกราคม 2557 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้สรุปประเทศที่มีการแจ้งเตือนเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองในกรุงเทพฯ รวม 46 ประเทศแล้ว จาก 68 ประเทศที่สำรวจ

**เหตุการณ์ต่างๆ กดดันผลการดำเนินงานด้านท่องเที่ยวของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยเช่นกัน เริ่มที่ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI จน “ดร.สรจักร เกษมสุวรรณ” ต้องลาออกจากตำแหน่ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ หรือ DD ทิ้งท้ายผลงานการบริหาร THAI ไว้ที่ 9 เดือน ขาดทุนสุทธิ 6,000 ล้านบาท ฉุดหุ้นกลุ่มการบินดิ่งตามลงมาทั้งกระดาน**

กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ตัดสินใจประกาศกฎอัยการศึก และกระทำรัฐประหาร พร้อมทั้งรับสนองพระบรมราชโองการดำรงตำแหน่ง “หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ” หรือ คสช. เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 กระทรวงการต่างประเทศของไทยว่า 62 ประเทศทั่วโลกประกาศเตือนเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศไทยทันที ในขณะที่อีก 43 ประเทศนั้น ได้แจ้งเตือน “ให้ใช้ความระมัดระวังในการเดินทางในประเทศไทยโดยให้เฝ้าติดตามสถานการณ์ และหลีกเลี่ยงพื้นที่ชุมนุม” ในระดับ “สีเหลือง” (Warning/Exercise Caution/Monitor SituaTion/Avoid Certain Sites)

ล่าสุด บรรยากาศทางการเมืองคลี่คลาย ตลอดถึงภาพรวมการบริหารเศรษฐกิจเริ่มชัดเจน อีกทั้งมีกำหนดระยะเวลาจัดตั้งคณะรัฐบาลที่แน่นอน ประกอบกับมีการยกเลิกประกาศ “เคอร์ฟิว” ในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ ควบคู่กับการอนุมัติงบฉุกเฉินภายใต้วงเงิน 845 ล้านบาท เริ่มใช้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไป เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักท่องเที่ยวผ่านโครงการฟื้นฟูภาพลักษณ์และสร้างการรับรู้ ทั้งการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจในช่วงเหตุการณ์ไม่สงบ และจัดทำแคมเปญ “ไทยแลนด์ เบสต์เฟรนด์ ฟอร์เอฟเวอร์” ในช่วงเดือนกรกฎาคม เพื่อสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งผ่านบล็อกเกอร์ เซเลบริตี โซเชียลมีเดีย และกลุ่มเฟรนด์ส ออฟ ไทยแลนด์ เพื่อทำให้ตลาดทุนกลับมาสู่ภาวะปกติที่นักลงทุนต่างชาติ และกองทุนจะกลับมาซื้อหุ้นในไทยอีกครั้ง

**นักวิเคราะห์เชื่อว่า เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย ตลาดหุ้นไทยจะกลับมาโดดเด่นกว่าตลาดในภูมิภาคทันที เพราะหุ้นบ้านเรายังมี Upside มากกว่าหุ้นในภูมิภาคเดียวกันมากทีเดียว โดยฝ่ายวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุยังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นไทยในช่วง 4-6 สัปดาห์ข้างหน้า พร้อมวิเคราะห์กลุ่มหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงในระยะสั้นก็ควรจะเป็นหุ้นท่องเที่ยว และโรงพยาบาล แต่ก็จะเริ่มเป็นโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวเตรียมตัวสะสมซื้อหุ้น 2 กลุ่มนี้ เพราะเมื่อใดที่สถานการณ์จบ การท่องเที่ยวไทยก็จะกลับมาฟื้นอย่างโดดเด่นแน่นอน ทั้งนี้ คาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ในปีนี้ของบล.ทิสโก้ ที่ 3.2% สำหรับปีหน้า บล.ทิสโก้ ยังคงคาดการณ์ GDP ที่ 4.5% หลักๆ จากการส่งออกที่คาดว่าจะโต 7% และการลงทุนในประเทศที่คาดว่าจะขยายตัวระดับ 2 หลัก (13.1% โดยเป็นการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐที่คาดว่าจะโต 12.3% และ 15.9% ตามลำดับ) นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งยังเป็นผลจากฐานปีนี้ที่ต่ำด้วย สำหรับหุ้นที่น่าจะได้รับความสนใจระยะสั้น ได้แก่ AOT (มูลค่าเหมาะสม 235 บ.), BTS (10.3 บ.), CENTEL (46 บ.), MINT (31 บ.) และ ERW (CONSENSUS 6.2 บ.)**

ฝ่ายกลยุทธ์ตลาดทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน จำกัด ประเมินว่าหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศที่โดดเด่น ได้แก่ CPALL สำหรับกลุ่มท่องเที่ยว เช่น AOT CPN ERW เป็นต้น เช่นเดียวกับกลุ่มธนาคารที่จะได้รับประโยชน์ยอดสินเชื่อที่คาดว่าสิ้นปีนี้น่าจะมีกลับเข้ามาได้ซึ่งมองว่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เช่น KBANK BBL

บล.กรุงศรี ระบุว่า ธุรกิจสายการบินยังอยู่ในช่วงของการขยายตัว ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยว และปริมาณผู้โดยสารที่ใช้บริการสนามบิน นอกจากนี้ ยังเป็นธุรกิจที่มี Operating Leverage สูง เนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ ทำให้ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง AOT ยังเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาดที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 80%

ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป แนะให้เลือกเก็งกำไรหุ้นรายตัวในกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม โฟกัสหุ้น AOT หลังจากนี้ คาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวน่าจะกลับคืนภาวะปกติ หลายประเทศน่าจะยกเลิกคำเตือนการเดินทางเข้าไทย โดยบทวิเคราะห์ล่าสุด ปรับเพิ่มมาให้โต 7% (สมมติฐานว่าจะเติบโต 0% ไปอีก 3 เดือน และหลังจากนั้นเติบโตกลับสู่ภาวะปกติคือ 14%) จึงได้เป็นราคาเหมาะสมใหม่ที่ 230 บาท

**ดังนั้น โดยรวมพบว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับผลดีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศครั้งนี้ ได้แก่ AOT, NOK, CENTEL, BGH, CPF, BBL, SCB, PTTEP, EGCO, CPN, HMPRO, AMATA, BLAND, CPALL, AAV, ERW และ MINT!**
กำลังโหลดความคิดเห็น