ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ราคาทองคำปรับลดลงหลุดต่ำกว่า $1,268 เหรียญ จุดต่ำสุดของก่อนหน้านี้ลงมา จนไปแตะระดับ $1,240 ก่อนล่าสุด จะอยู่ที่ $1,255.40 เหรียญ ซึ่งการปรับหลุดลงมานั้นเป็นเพราะตลาดเก็งกันว่า ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB จะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจบางอย่างออกมา ซึ่งสุดท้ายเมื่อหัวค่ำวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ทาง ECB ก็มีการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง จาก 0.25 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 0.15 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ดอกเบี้ยเงินฝากลดลงจนติดลบ -0.10 เปอร์เซ็นต์ เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ทุกคนใช้จ่าย ลงทุน ไม่เก็บเงินไว้นิ่งๆ โดยคาดว่าจะแก้ไขปัญหาเงินฝืดได้
ทองคำปรับลงเล็กน้อยทันทีหลัง ECB ออกมาตรการดังกล่าว แต่ปรับลงไม่มากเพราะราคาได้ดูดซับข่าวนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้หลังจากนั้นไม่นาน มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯอย่างตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ออกมามากกว่าที่คาด ทำให้ราคาทองคำที่รับข่าวร้ายมาหมดแล้วพรอ้มดีดกลับแรงได้ระดับหนึ่ง
ปกติแล้วหาก ECB มีการปรับอัตราดอกเบี้ยลง สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ คนที่ถือสกุลเงินยูโรก็คงเริ่มๆ หนาวๆ ร้อนๆ ว่าค่าเงินน่าจะอ่อนค่า จึงควรจะขายยูโรแล้วไปถือสกุลเงินอื่นแทน โดยเฉพาะสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยที่สูงๆ ตามปกติเงินจะไหลไปยังที่ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือที่ที่ปลอดภัยกว่ายามมีวิกฤต เพราะฉะนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเริ่มมีการฟื้นตัวแบบนี้ พอยูโรมีแนวโน้มที่จะได้ผลตอบแทนน้อยลง นักลงทุนและนักเก็งกำไรค่าเงินก็จะขายยูโรไปเข้าดอลลาร์สหรัฐ หรือสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งรวมถึงสกุลเงินในอาเซียนอย่างไทยบาทเช่นกัน
ยูโรอ่อน ดอลลาร์แข็ง ทองคำโลกควรปรับลง และมันก็โชว์แล้วว่ามันเป็นเช่นนั้น เพียงแต่อาจจะมีบ้างที่เงินไหลหนียูโรบางส่วนที่ไม่รู้จะไปลงไหนแล้วมาลงในทองคำบ้าง แต่น่าจะเป็นการซื้อทองคำในสกุลเงินยูโรน่าจะได้เปรียบกว่า เพราะมองว่าสกุลเงินยูโรจะอ่อนค่า แต่ราคาทองคำในรูปแบบดอลลาร์ไม่น่าจะขึ้นได้ไกลจากปัจจัยนี้ เพราะแนวโน้มดอลลาร์เทียบกับยูโรมันแข็งค่า
การลงทุนในทองคำปีนี้ ยังคงจะแกว่งอยู่ในกรอบเดิมที่ $1,180-1,420 เหรียญ แต่ทางโกลเบล็กเองก็มองว่าราคาได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและยังแนะนำให้ทยอยสะสมทองคำบริเวณ $1,230 เหรียญ
สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช
ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก
