บิ๊ก เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป ตั้งเป้าเติบโตปีนี้ 5-15% เผยแม้รายได้หดในช่วงครึ่งปีแรก แต่จะพลิกกลับมาฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง จากการที่ กสทช. แจกคูปองส่วนลดซื้อกล่องรับสัญญาณ 11 ล้านครัวเรือน หนุนสัดส่วนโฆษณาของทีวีดิจิตอลเพิ่มมากขึ้น คาดใน 3 ปีสัดส่วนรายได้ทีวีจะแซงหน้าสิ่งพิมพ์ จากความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น
น.ส.ดวงกมล โชตะนา กรรมการผู้อำนวยการ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป หรือ NMG กล่าวว่า แนวโน้มผลประกอบการในปีนี้ คาดว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 และไตรมาสที่ 4 เนื่องจากทางคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. จะเริ่มแจกคูปองส่วนลดในการแลกซื้อกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิตอล จำนวน 11 ล้านกล่องในเดือนสิงหาคม หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของจำนวนครัวเรือนทั้งประเทศ
อย่างไรก็ตาม การบริหารรายได้ในครึ่งปีหลังของบริษัทฯ คาดว่าจะสามารถทำได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยจะควบคุมความเสี่ยงให้ทั้งปีให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 5-15% ถึงแม้จะส่งผลกระทบต่อกำไร และผลประกอบการ แต่บริษัทฯ จะพยายามไม่ให้กระทบในส่วนของผลตอบแทนผู้ถือหุ้น
“แม้ว่าในไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ จะประสบปัญหาจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งส่งผลต่อกลุ่มลูกค้าที่ซื้อโฆษณา ทำให้รายหดตัวลงไป แต่คาดว่าในครึ่งปีหลังเหตุการณ์จะเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จากการเข้ามาบริหารเศรษฐกิจของ คสช. ประกอบกับส่วนแบ่งรายได้โฆษณาของทีวีดิจิตอลที่จะกระจายจากฟรีทีวีปกติเข้ามาช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้ที่ขาดหายไปในครึ่งปีแรก โดยบริษัทตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ทั้งปีในปีนี้ แบ่งเป็น สื่อสิ่งพิมพ์ 60% และสื่อโทรทัศน์ 40% โดยในระยะ 3 ปีคาดว่าสัดส่วนรายได้ของสื่อสิ่งพิมพ์จะลดลงเหลือ 40% ซึ่งรายได้ของสื่อโทรทัศน์จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 60%เนื่องจากสื่อโทรทัศน์จะครอบคลุมมากขึ้น และได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น”
นอกจากนี้ บริษัทฯ ปรับปรุงในส่วนของมหาวิทยาลัยเนชั่น ซึ่งจะเน้นคณะนิเทศศาสตร์ที่เป็นคณะหลัก เพื่อสร้างบุคลากรป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมสื่อสารมวลชน เนื่องจากมองว่าในอนาคตจะมีความต้องการบุคลากรในแขนงสาขาวิชานี้เป็นจำนวนมาก ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ และนิวส์มีเดีย ซึ่งในปีการศึกษานี้ได้ปรับเป้าจำนวนนักศึกษาเข้าใหม่จาก 800 คน เพิ่มขึ้นเป็น 1,100 คน
ขณะที่ในส่วนของการเข้าไปลงทุนหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในประเทศพม่านั้น อยู่ในช่วงของการรอใบอนุญาตประกอบกิจการจากทางรัฐบาล คาดว่าจะสามารถได้ข้อสรุปภายในเร็วๆ นี้ ส่วนการบริหารหนังสือพิมพ์ในขณะนี้มีผลประกอบการดีขึ้น เนื่องจากต้นทุนราคากระดาษปรับตัวลดลง 5-7% ช่วยให้บริษัทฯ ควบคุมรายจ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งจากการประกาศกฎอัยการศึก และรัฐประหารในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทีวี และวิทยุต้องถูกควบคุม ส่งผลให้หนังสือพิมพ์กลับมามีบทบาทในการนำเสนอข่าวต่อผู้อ่านมากขึ้น และมียอดจำหน่ายที่เพิ่มมากขึ้น