บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ทำยอดขายไตรมาสแรก ปี 2557 รวม 2.83 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีก่อน แม้จะมีข้อจำกัดด้านภาวะเศรษฐกิจและการเมือง ด้านกำไรสุทธิลดลง 9.92% จากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนลดลง รวมถึงต้นทุนขายและบริหารและภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
น.ส.ปวีณา ศรีโพธิ์ทอง ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ฯ (SET) จำนวน 471 บริษัท หรือ 92.17% จากทั้งหมด 511 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC และบริษัทที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด หรือ NPG) ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2557 แล้ว โดยมีบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงาน จำนวน 384 บริษัท คิดเป็น 81.53% ของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยยอดขายไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 2,827,451 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.85% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 220,296 ล้านบาท ลดลง 9.92% ด้านประสิทธิภาพในการทำกำไร อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.29% ลดลงจากปีที่แล้วเล็กน้อยที่ 18.37% ส่วนอัตรากำไรสุทธิลดลงเป็น 7.79% จาก 9.15% อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.31 เท่า
“เศรษฐกิจที่ชะลอตัว และปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อ ทำให้ภาพรวมยอดขายของบริษัทจดทะเบียนเติบโตในอัตราที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบชัดเจนคือ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจสื่อและสิ่งพิมพ์ ธุรกิจสายการบิน และธุรกิจหลักทรัพย์ ส่วนธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และอาหารยังมีแนวโน้มอัตราการเติบโตของยอดขายดีต่อเนื่องจากปัจจัยทั้งด้านราคา และปริมาณขายจากทั้งใน และต่างประเทศ รวมถึงได้รับประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่า อย่างไรก็ตาม กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ และกลางในกลุ่ม SET100 ลดลง 18.49% ส่วนกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม Non-SET100 เพิ่มขึ้น 54.73% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงานของ TRUEIF มูลค่า 15,773 ล้านบาท หากไม่รวมรายการดังกล่าว กำไรสุทธิกลุ่ม Non-SET100 จะลดลงเล็กน้อยประมาณ 0.35%” น.ส.ปวีณา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)
ในขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรก จาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ ธุรกิจการเงิน ทรัพยากร และเทคโนโลยี
สำหรับหมวดธุรกิจที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรก จาก 28 หมวดธุรกิจ ได้แก่ พลังงานและสาธารณูปโภค ธนาคาร และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยทั้ง 3 หมวดมีกำไรสุทธิรวม 145,297 ล้านบาท คิดเป็น 65.96% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด และยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวด คิดเป็น 53.70% ของยอดขายรวมทั้งหมด